กำลังปรับปรุงครับ
การไถกลบตอซังเพื่อปรับปรุงดินและเพิ่มผลผลิตข้าว
บทนำ
การไถกลบตอซัง หมายถึง การไถกลบตอซังข้าวหรือพืชไร่ที่มีอยู่ในไร่นาภายหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วลงไปในดินระหว่างการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกขณะที่ดินมีความชื้น และปล่อยทิ้งไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดกระบวนการย่อยสลายในดินซึ่งจะกลายเป็นแหล่งของอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืช แล้วจึงปลูกพืชหลักตามที่ต้องการต่อไป
ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 65 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ20 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ได้ผลผลิตข้าว 24 ล้านตัน มีฟางข้าวเฉลี่ยประมาณปีละ 25.45 ล้านตัน และมีปริมาณตอซังข้าวที่ตกค้างอยู่ในนาข้าว 16.9 ล้านตันต่อปี ดังนั้นจึงนับได้ว่ามีปริมาณฟางข้าวและตอซังข้าวมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตอซังพืชชนิดอื่น โดยมีปริมาณฟางข้าวและตอซังมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือจำนวน 13.7 และ 9.1 ล้านตันต่อปี รองลงมาคือภาคกลางและภาคตะวันออกมีจำนวนฟางข้าวและตอซัง 6.2 และ 4.1 ล้านตันต่อปี และในพื้นที่ปลูกข้าว 1 ไร่ มีปริมาณฟางข้าวและตอซัง โดยเฉลี่ยปีละ 650 กิโลกรัม
ตอซังข้าวหรือฟางข้าวเป็นวัสดุที่ย่อยสลายง่าย มีค่าอัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจนเฉลี่ย 99:1 มีปริมาณธาตุอาหารหลักของพืชได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแทสเซียมเฉลี่ย 0.51 0.14 และ 1.55 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณธาตุอาหารรองของพืชได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และซัลเฟอร์เฉลี่ย 0.47 0.25 และ 0.17 เปอร์เซ็นต์
ตารางแสดงปริมาณตอซังและฟางข้าวในแต่ละภาคของประเทศไทย (ล้านตันต่อปี)
ภาค
|
ข้าวนาปี
|
ข้าวนาปรัง
|
รวม
|
ตอซัง
|
ฟางข้าว
|
ตอซัง
|
ฟางข้าว
|
เหนือ
|
2.80
|
4.24
|
0.12
|
0.19
|
7.36
|
ตะวันออกเฉียงเหนือ
|
9.03
|
13.61
|
0.11
|
0.18
|
22.93
|
กลางและตะวันออก
|
3.32
|
5.01
|
0.79
|
1.20
|
10.32
|
ใต้
|
0.63
|
0.95
|
0.04
|
0.07
|
1.69
|
ปริมาณรวม
|
15.80
|
23.81
|
1.08
|
1.64
|
42.33
|
ประโยชน์จากการไถกลบตอซังข้าว
1. ปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน
1.1 ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ง่ายต่อการเตรียมดิน การปักดำกล้า และทำให้ระบบรากพืชสามารถแพร่กระจายในดินได้มากขึ้น
1.2 การระบายอากาศของดินเพิ่มมากขึ้น
1.3 เพิ่มการซึมผ่านของน้ำ และการอุ้มน้ำของดินให้ดีขึ้น
2. ปรับปรุงสมบัติทางเคมีของดิน
2.1 เป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดินโดยตรง ถึงแม้ปริมาณธาตุอาหารจะไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี แต่จะมีธาตุอาหารครบถ้วนตามที่พืชต้องการทั้งธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม) ธาตุอาหารรอง (แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน) และจุลธาตุ (เหล็ก แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน) และจะค่อยๆปลดปล่อยให้เป็นประโยชน์ต่อพืชในระยะยาว
2.2 ช่วยดูดยึดธาตุอาหารจากการใส่ปุ๋ยเคมีไม่ให้สูญเสียไปจากดินซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี
2.3 ช่วยเพิ่มความต้านทานการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดเป็นด่างของดินทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่รวดเร็วจนเป็นอันตรายต่อพืช
2.4 ช่วยลดความเป็นพิษของเหล็กและแมงกานีสในดิน
2.5 ช่วยลดความเป็นพิษจากดินเค็ม
3. ปรับปรุงสมบัติทางชีวภาพของดิน
3.1 อินทรียวัตถุเป็นแหล่งอาหารและแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์ดินมีผลทำให้ปริมาณและกิจกรรมของจุลินทรีย์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงธาตุอาหารในดินให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
3.2 การเพิ่มปริมาณหรือจำนวนของจุลินทรีย์ดินมีผลช่วยลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรคพืชบางชนิดในดินลดน้อยลง
วิธีการไถกลบตอซังข้าว
พื้นที่เขตชลประทาน ในเขตพื้นที่ชลประทานซึ่งสามารถปลูกข้าวได้ต่อเนื่อง 2-3 ครั้งต่อปี หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วไม่ต้องเผาตอซังและฟางข้าว ให้ทำการไถกลบตอซังและฟางข้าวแล้วปล่อยน้ำเข้านา โดยให้ระดับน้ำพอท่วมวัสดุ หลังจากนั้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำอัตรา 5 ลิตรต่อไร่ เจือจางกับน้ำ 100 ลิตร คิดเป็นอัตราส่วน 1 : 20 ราดลงในแปลงข้าวเพื่อช่วยให้ตอซังข้าวย่อยสลายได้ง่าย หมักไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจึงทำเทือกเพื่อเตรียมเพาะปลูกข้าวครั้งใหม่ต่อไป หรือสามารถปลูกพืชไร่เศรษฐกิจชนิดอื่นได้ เช่น พืชตระกูลถั่ว ข้าวโพด ข้างฟ่าง ฯลฯ
พื้นที่เขตเกษตรน้ำฝน
ในกรณีที่เกษตรกรมีการปลูกข้าวเป็นพืชหลักเพียงอย่างเดียวตลอดฤดูเพาะปลูกโดยอาศัยน้ำฝน หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวให้ทิ้งฟางข้าวและตอซังไว้ในพื้นที่ของเกษตรกร เพื่อเป็นการคลุมผิวหน้าดิน จากนั้นเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายน หรือต้นเดือนพฤษภาคม ให้ทำการเตรียมดินพร้อมกับการไถกลบตอซังและฟางข้าว แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกับในเขตชลประทาน โดยทำการปล่อยน้ำเข้านาให้ระดับน้ำท่วมวัสดุที่ไถกลบ หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้อัตรา 5 ลิตร โดยให้เจือจางกับน้ำ 100 ลิตร ก่อนราดลงในแปลงนาข้าว หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ตอซังข้าวเกิดการย่อยสลาย แล้วจึงทำเทือกเตรียมแปลงพร้อมที่จะปลูกข้าวต่อไป
ผลเสียจากการเผาตอซัง
เกษตรกรที่เตรียมพื้นที่สำหรับปลูกข้าวโดยทำการเผาตอซังข้าวเพื่อให้เกิดความสะดวกในการไถเตรียมดิน หรือเพื่อต้องการกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืชนั้นจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง
สมบัติของดินทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ เนื่องจากความร้อนจากการเผาตอซัง กล่าวคือ
1. ทำให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงไป อนุภาคของดินจับตัวกันแน่นและแข็ง ทำให้รากพืชแคระแกร็น ไม่สมบูรณ์และอ่อนแอ การหาอาหารลดลงรวมทั้งเชื้อโรคพืชสามารถเข้าทำลายได้ง่าย
2. สูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน คาร์บอนและอินทรียวัตถุในดินเมื่อถูกเผาจะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูญเสียไปในบรรยากาศ ส่วนธาตุอาหารจะแปรสภาพให้อยู่ในรูปที่สามารถสูญเสียไปจากดินได้ง่าย
3. ทำลายจุลินทรีย์และแมลงที่เป็นประโยชน์ในดิน ทำให้ปริมาณและกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินลดลง เช่น กิจกรรมการเปลี่ยนก๊าซไนโตรเจนจากบรรยากาศให้อยู่ในรูปของสารประกอบไนโตรเจนที่พืชใช้ประโยชน์ได้ การแปรสภาพอนินทรีย์ฟอสฟอรัสให้อยู่ในรูปของฟอสเฟตที่ละลายน้ำได้ และการย่อยสลายอินทรียสารเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน นอกจากนั้นตัวอ่อนของแมลงศัตรูพืช เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียนที่อาศัยอยู่ในดินหรือตอซังพืชรวมทั้งจุลินทรีย์ที่สามารถควบคุมโรคพืชถูกเผาทำลายไป ซึ่งหากระบบนิเวศน์ของดินไม่สมดุลจะทำให้การแพร่ระบาดของโรคเกิดได้ง่ายขึ้น
4. สูญเสียน้ำในดิน การเผาตอซังพืชทำให้ผิวดินมีอุณหภูมิสูงถึง 90 องศาเซลเซียส น้ำในดินจะระเหยสู่บรรยากาศอย่างรวดเร็ว ให้ความชื้นของดินลดลง
จัดทำโดย : กลุ่มระบบงานวิจัย กองแผนงาน กองแผนงาน ร่วมกับกลุ่มวิจัยและพัฒนาอินทรียวัตถุเพื่อการเกษตรสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน
http://www.ldd.go.th/menu_moc/POSTER/rice/rice.htm
เทคนิคการสลายตอซังข้าวและปุ๋ยสั่งตัด
หนึ่งในนวัตกรรมจากศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน
จากการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix it Center ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา จนปัจจุบัน การดำเนินโครงการเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นการขยายบทบาทจากการเป็นศูนย์ที่ส่งนักศึกษาอาชีวศึกษาที่เรียนด้านช่างสาขาต่างๆ ออกไปให้บริการชุมชนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย มาเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน และเพิ่มทักษะแก่ชุมชนในทุกด้าน รวมทั้งการเพิ่มจำนวนศูนย์จากเดิม 2,000 แห่ง ให้มีจำนวนเพิ่มอีก 8,000 แห่ง ภายในปี 2554 โดยการเริ่มนำร่องในปี 2551 จำนวน 500 แห่ง จึงนับเป็นอีกก้าวหนึ่งในการรุกขยายบทบาทลงสู่ชุมชนในชนบททั่วประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ คุณพงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ คุณวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาขอนแก่น นำคณะออกตรวจเยี่ยมโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น โดยร่วมลงแปลงนาสาธิตการสลายตอซังข้าวในนาโดยไม่ต้องเผาทำลาย ในโครงการจัดความรู้เพิ่มพลังให้ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร ซึ่งใช้พื้นที่ในบริเวณวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น เป็นแหล่งเรียนรู้ในการสลายตอซังข้าว การใช้ปุ๋ยสั่งตัด และการปรับสภาพเครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน
อาจารย์บุญช่วย ศรีเกษ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้จัดโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เพื่อให้คำแนะนำ ถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน ให้รู้วิธีใช้ การดูแลรักษา และพัฒนาทักษะช่างชุมชน ให้สามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือ อุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ และเครื่องใช้ในครัวเรือน ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ในการถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยทางวิทยาลัยได้จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน จำนวน 2 ศูนย์ คือ ศูนย์ อบต.สวนหม่อน และศูนย์ อบต.โคกสำราญ อำเภอมัญจาคีรี พร้อมกับการใช้พื้นที่ในวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้ โดยเฉพาะวิธีการสลายตอซังข้าวในนากับการใช้ปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งขณะนี้ได้รับความสนใจจากเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก
"การสลายตอซังข้าวในนา เป็นวิธีการแบบเกษตรอินทรีย์ ที่ใช้ภูมิปัญญาไทยผสมผสานกับเทคโนโลยี โดยเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเผาทำลายตอซังข้าว แต่ทำให้ย่อยสลายเป็นปุ๋ย โดยนำเทคนิคการล้มตอซังข้าว แล้วใช้วิธีชีวภาพเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ให้ย่อยสลายตอซัง ร่วมกับการใช้ปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์ดินแต่ละพื้นที่ และจัดการสั่งปุ๋ยหรือธาตุอาหารที่เหมาะสมกับดินในแต่ละแหล่งเพาะปลูก และพืชที่ปลูก ให้เป็นตัวกำหนดสูตรปุ๋ย N P K หรือ ไนโตรเจน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่เหมาะสมในการเพาะปลูก นอกจากนี้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น ยังให้คำปรึกษาแนะนำ และเพิ่มความรู้ด้านการบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ ให้สามารถพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต และยังช่วยลดปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติอีกด้วย" อาจารย์บุญช่วย บอก
อาจารย์บุญช่วย กล่าวต่อว่า การย่อยสลายตอซังข้าวด้วยจุลินทรีย์นั้น จะเริ่มใช้ในแปลงนาข้าวที่มีการเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เหยียบหรือทุบหรือไถนาตอซังให้ติดกับดิน แล้วปล่อยน้ำเข้าไปในพื้นที่นาให้ท่วมตอซังและฟางข้าวให้หมด จากนั้นจึงใช้น้ำจุลินทรีย์ในอัตราสัดส่วนพื้นนา 1 ไร่ ใช้หัวจุลินทรีย์ 1 ลิตร หรือ 1,000 ซีซี และผงเอ็กก้า บูมเมอร์ 250 กรัม ซึ่งในการผสมน้ำจุลินทรีย์นั้นก็ไม่ยาก คือให้ใช้ผงเอ็กก้า บูมเมอร์ ละลายในถังที่จะใช้ผสม เมื่อละลายเรียบร้อยแล้ว ให้เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ลงไป และเติมน้ำลงไปจนเพียงพอกับการที่จะฉีดหรือสาดลงในแปลงนาข้าวอย่างทั่วถึง หลังจากนั้น ให้เก็บกักน้ำไว้ในแปลงนาเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งจุลิทรีย์จะย่อยสลายตอซังและเศษฟางข้าว รวมทั้งวัชพืชอื่นๆ ให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก จากนั้นก็ปลูกข้าวได้เลย
"สิ่งที่สำคัญในการทำการเกษตร คือการเตรียมดิน โดยเฉพาะที่นา จะต้องปรับพื้นที่นาให้ราบเรียบ โดยให้ลาดเอียงไปทางใดทางหนึ่ง แต่ปัจจุบัน เกษตรกรมักไม่ค่อยให้ความสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะเช่าที่นา จึงไม่ต้องการลงทุนเพิ่มเติมมากนัก หรือแม้แต่เป็นที่นาของตัวเองบางครั้งก็ยังขาดการเอาใจใส่ในเรื่องนี้ ส่วนการเผาตอซังข้าว ก็เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก แต่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ที่ดินก็เสียหาย หากปรับมาใช้การสลายตอซังด้วยเชื้อจุลินทรีย์ จะช่วยย่อยสลายเซลลูโลสของฟางข้าว เมื่อเติมผงเอ็กก้า บูมเมอร์ ที่มีคุณสมบัติเป็นประจุไฟฟ้าลบ จะช่วยทำให้ดินร่วนซุย ทั้งยังช่วยขยายหรือเพิ่มปริมาณของจุลินทรีย์ได้อีกถึง 1,000 เท่า ทำให้ตอซังข้าวย่อยสลายในเวลาอันรวดเร็วภายใน 7 วัน เท่านั้น" อาจารย์บุญช่วย อธิบาย
คุณพงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคเอกชน ได้บูรณาการองค์ความรู้ และร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร โดยองค์ความรู้ส่วนหนึ่งที่ถ่ายทอดไปทั่วประเทศคือ การสลายตอซังข้าวในนา การใช้ปุ๋ยสั่งตัด และการปรับสภาพเครื่องจักรกลการเกษตรให้พร้อมใช้งาน โดยจัดพื้นที่แปลงสาธิตและฝึกอบรมกระจายความรู้เกษตรกรรมแนวใหม่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบในการเพิ่มประสิทธิภาพและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตที่ปลอดสารพิษแก่เกษตรกรและประชาชนผู้บริโภค โดยการปรับลดการใช้สารเคมีจากยาปราบวัชพืช ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการนำเข้าสารเคมีที่เป็นยาปราบวัชพืชปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มปริมาณขึ้นทุกปี ดังนั้น การกลับมาใช้เกษตรแบบอินทรีย์ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยเข้าด้วยกัน จะช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
คุณวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ภายใต้โครงการจัดความรู้เพิ่มพลังให้ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคเอกชน ได้กำหนดให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) จำนวน 11 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นศูนย์ในการดำเนินการเผยแพร่ความรู้ให้เกษตรกรในหมู่บ้านตามพื้นที่ที่รับผิดชอบ ซึ่งประกอบด้วย วษท.สุพรรณบุรี, วษท.ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร, วษท.พิจิตร, วษท.กำแพงเพชร, วษท.สิงห์บุรี, วษท.ลพบุรี, วษท.พัทลุง, วษท.ขอนแก่น, วษท.ปทุมธานี, วษท.เชียงใหม่ และ วษท.อุบลราชธานี โดยเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งด้านการเกษตร และการเป็นศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนในอีกทางหนึ่งด้วย
|
|
โดย สุเมธ วรรณพฤกษ์
|
http://pre-rsc.ricethailand.go.th/knowledge/39.html
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.