ฟรี ยูเรีย 7 กิโลกรัม /ไร่
ทำนาด้วยวิธีเกษตรธรรมชาติ อย่างที่ใครๆเขาก็ทำแล้วประสบความเร็จมาแล้วเกินกว่า20ปี
วิธีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ "เผาฟาง" ใครจะรู้บ้างว่าที่ทำๆกันอยู่ ได้ทำลายอินทรียวัตถุไปเท่าไหร่ อยากให้ได้ลองนึกกันดูบ้างว่า
- ต้นข้าว 1 ต้นเราเก็บเกี่ยวเอาแต่เมล็ดไป แล้วส่วนที่เหลือที่เราไม่ได้เก็บไปนั่นมีปริมาณ มีน้ำหนักเป็นกี่เท่าของผลผลิต ?
- แล้วส่วนที่เราทิ้งที่ว่านี้ทั้งนามีน้ำหนักเท่าไหร่ ?
- เหล่านี้คือปุ๋ยทั้งนั้น การเผาข้าวในนา 1 ไร่ เป็นการเผาชีวิตของสิ่งมีชีวิตเล็กๆในดินทำให้ดินตาย ทำลายโครงสร้างดิน และการที่ฟางถูกเผาเทียบเท่ากับการเผาปุ๋ยยูเรียทั้ง 7 กิโลกรัมเลยทีเดียว ! (รวมทั้งเผาเอาธาตุอาหารอื่นไปด้วย เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ฯลฯ )
- ทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เผาปุ๋ยทิ้งแล้วซื้อปุ๋ยอื่นมาใส่แทน !
ดังนั้น การไม่เผาฟาง = เราได้ปุ๋ยยูเรียฟรี 7 กก. / ไร่
เราเปลี่ยนมาทำนาแบบเกษตรธรรมชาติ "ไม่เผาฟาง" กันดีไหม ?
มาดูกันว่า "วิธีทำนาที่ถูกต้อง" ทำให้เราเติมปุ๋ยมหาศาลให้กับดินอย่างไร
ขั้นที่ 1. คือการใส่โบกาฉิ เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน และจุลินทรีย์ในโบกาฉิยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินให้ซึมซับน้ำ - อุ้มอาหารไว้ให้พืชได้อย่างดี ดินที่เคยหล่มก็จะดีขึ้นเรื่อยๆจนหายหล่มในที่สุด
ขั้นที่ 2. คือการใช้จุลินทรีย์ เพื่อหมักฟางจำนวนมากที่มีอยู่แล้วในนาให้กลายเป็นปุ๋ย ฟางจะนุ่มสามารถปั่นได้ไม่ติดผานไถภายใน 3-7 วัน
ขั้นที่ 3. คือทำปุ๋ยพืชสดในนา โดยหมักดินให้หญ้า/ข้าวดีดขึ้น แล้วไถ / ปั่น ทำลายให้วัชพืชกลายเป็นปุ๋ยพืชสด ทำวิธีนี้จะลดวัชพืชลงเรื่อยๆในรอบต่อๆไป ขจัดปัญหากวนใจได้อย่างเห็นผล
ผลดีมีอีกมากมายวิธีการก็ง่ายดาย เชิญเข้าไปอ่านได้ใน
http://www.organictotto.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538889849&Ntype=4
เรื่องจุดเปลี่ยนวิถีชีวิตเกษตรกรไทย อีกเรื่องที่อยากฝากไว้ค่ะ
ในสมัยปู่ย่าของเราเก่าก่อน การทำนาเป็นแบบธรรมชาติ ปุ๋ยทั้งหลายก็มาจากธรรมชาติ เช่น ตอซังฟางข้าวในนา มูลวัวมูลควายที่ลงไปอยู่ในนา สภาพดินอุดมสมบูรณ์ในแบบที่เรียกว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จุดเปลี่ยนวิถีชีวิตเกษตรกรไทยเริ่มจากประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา ผลจากหลังสงครามโลก มีขยะชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ขยะที่เกิดจากสงครามที่ไม่รู้จะทิ้งที่ไหน ก็เลยเอาไปทิ้งลงในดินของประเทศอื่นๆมิหนำซ้ำยังได้เงินอีกเป็นกอบเป็นกำ ความจริงที่น่าเจ็บใจก็คือ หนึ่งในสถานที่ทิ้งขยะเหล่านี้คือประเทศไทยของเรา
ขยะที่ถูกตั้งชื่อใหม่ว่า "ปุ๋ยเคมี" นอกจากจะแปรรูปมาจากขยะจากสงครามแล้ว ก็ยังได้จากขยะที่เกิดจากการผลิตปิโตรเลียมด้วย ด้วยการชักชวนให้หันมาใช้โดยให้เหตุผลว่าจะได้ผลผลิตที่มากขึ้นคุณภาพดีขึ้น แต่ไม่บอกเราซักคำว่า เป็นผลร้ายทำลายสุขภาพเราและทำให้ดินในที่ทำกินของเราเลวลง จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดภาวะมลพิษขึ้นมากมาย (คลิกลิงค์เพื่ออ่านข้อมูล : มลพิษทางน้ำ , มลพิษทางดิน) นอกจากจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของร่างกาย ทั้งเกษตรกรเอง และผู้บริโภคโดยตรงแล้ว สารเคมีเหล่านี้ก็ยังทำลายน้ำ ทำลายดินให้ตายลงอย่างช้าๆ แล้วน้ำที่เคยมีปลา นาที่เคยมีข้าว ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันดี ว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นสุวรรณภูมิที่มีความสมบูรณ์หนักหนา ทุกวันนี้เราทำเกษตรกันยากลำบากขนาดไหน ใช้ปุ๋ยเคมีกันจนมือเปื่อย ฉีดพ่นยาเคมีตอนเช้า พอตกเย็นนอนซม ไหนจะเป็นหนี้สินเพราะค่าปุ๋ยค่ายาแพงเหลือเกินทำไปแล้วก็ขาดทุน ทำสวนไปซักพักดินเสียก็ย้ายบ้านย้ายที่อยู่ที่ทำกิน หลายคนพยายามส่งลูกเข้าเรียนในเมืองเพื่อหาอาชีพใหม่เพราะอาชีพเกษตรกรยึดถือไว้ไม่ได้ยั่งยืนอีกต่อไป
หากเรายังคงยึดมั่นในการใช้เคมีเพื่อหวังเพียงผลผลิต(ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ดี) ก็เท่ากับว่าเรายังคงใส่สารพิษลงไปในสิ่งแวดล้อม ส่งยาพิษมาให้ผู้บริโภค เสพสารพิษในทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยและฉีดพ่นยา ทำลายที่ดินทำกินของลูกหลานเราทุกวัน บทความนี้อาจฟังดูรุนแรงและแทงใจ แต่มันก็เป็นความจริง
ทางตันด้านการเกษตรไทยวันนี้ คงต้องพึ่งพาการทำเกษตรธรรมชาติแนวใหม่ของคิวเซ โดยใช้ระบบจุลินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ฮอร์โมนชีวภาพ ซึ่งจะทำให้เราประกอบอาชีพเกษตรกันได้อย่างยั่งยืน อยากจะบอกให้ใครหลายคนอย่าเพิ่งละทิ้งการเป็นเกษตรกรกันไป หันมาร่วมมือกันเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิด "จุดเปลี่ยน" ครั้งใหม่กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ พร้อมทั้งมีการวางแผนให้เป็น "อุตสาหกรรมเกษตร" ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกันคนละไม้คนละมือค่อยๆเปลียนกันไปเพื่อให้ชีวิตเกษตรกรไทยดีขึ้น ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพวกเราและลูกหลานของพวกเราทุกคน โตตโต้จะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ
|