-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 323 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

นาข้าว







ฟรี ยูเรีย 7 กิโลกรัม /ไร่



ทำนาด้วยวิธีเกษตรธรรมชาติ อย่างที่ใครๆเขาก็ทำแล้วประสบความเร็จมาแล้วเกินกว่า20ปี

วิธีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ "เผาฟาง" ใครจะรู้บ้างว่าที่ทำๆกันอยู่ ได้ทำลายอินทรียวัตถุไปเท่าไหร่ อยากให้ได้ลองนึกกันดูบ้างว่า

  • ต้นข้าว 1 ต้นเราเก็บเกี่ยวเอาแต่เมล็ดไป แล้วส่วนที่เหลือที่เราไม่ได้เก็บไปนั่นมีปริมาณ มีน้ำหนักเป็นกี่เท่าของผลผลิต ?
  • แล้วส่วนที่เราทิ้งที่ว่านี้ทั้งนามีน้ำหนักเท่าไหร่ ?
  • เหล่านี้คือปุ๋ยทั้งนั้น การเผาข้าวในนา 1 ไร่ เป็นการเผาชีวิตของสิ่งมีชีวิตเล็กๆในดินทำให้ดินตาย ทำลายโครงสร้างดิน และการที่ฟางถูกเผาเทียบเท่ากับการเผาปุ๋ยยูเรียทั้ง 7 กิโลกรัมเลยทีเดียว ! (รวมทั้งเผาเอาธาตุอาหารอื่นไปด้วย เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ฯลฯ )
  • ทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เผาปุ๋ยทิ้งแล้วซื้อปุ๋ยอื่นมาใส่แทน !

ดังนั้น การไม่เผาฟาง = เราได้ปุ๋ยยูเรียฟรี 7 กก. / ไร่

เราเปลี่ยนมาทำนาแบบเกษตรธรรมชาติ "ไม่เผาฟาง" กันดีไหม ?

มาดูกันว่า "วิธีทำนาที่ถูกต้อง" ทำให้เราเติมปุ๋ยมหาศาลให้กับดินอย่างไร

ขั้นที่ 1. คือการใส่โบกาฉิ เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน และจุลินทรีย์ในโบกาฉิยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินให้ซึมซับน้ำ - อุ้มอาหารไว้ให้พืชได้อย่างดี ดินที่เคยหล่มก็จะดีขึ้นเรื่อยๆจนหายหล่มในที่สุด

ขั้นที่ 2. คือการใช้จุลินทรีย์ เพื่อหมักฟางจำนวนมากที่มีอยู่แล้วในนาให้กลายเป็นปุ๋ย ฟางจะนุ่มสามารถปั่นได้ไม่ติดผานไถภายใน 3-7 วัน

ขั้นที่ 3. คือทำปุ๋ยพืชสดในนา โดยหมักดินให้หญ้า/ข้าวดีดขึ้น แล้วไถ / ปั่น ทำลายให้วัชพืชกลายเป็นปุ๋ยพืชสด ทำวิธีนี้จะลดวัชพืชลงเรื่อยๆในรอบต่อๆไป ขจัดปัญหากวนใจได้อย่างเห็นผล

ผลดีมีอีกมากมายวิธีการก็ง่ายดาย เชิญเข้าไปอ่านได้ใน

http://www.organictotto.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538889849&Ntype=4
 

 เรื่องจุดเปลี่ยนวิถีชีวิตเกษตรกรไทย อีกเรื่องที่อยากฝากไว้ค่ะ

ในสมัยปู่ย่าของเราเก่าก่อน การทำนาเป็นแบบธรรมชาติ ปุ๋ยทั้งหลายก็มาจากธรรมชาติ เช่น ตอซังฟางข้าวในนา มูลวัวมูลควายที่ลงไปอยู่ในนา สภาพดินอุดมสมบูรณ์ในแบบที่เรียกว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จุดเปลี่ยนวิถีชีวิตเกษตรกรไทยเริ่มจากประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา ผลจากหลังสงครามโลก มีขยะชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ขยะที่เกิดจากสงครามที่ไม่รู้จะทิ้งที่ไหน ก็เลยเอาไปทิ้งลงในดินของประเทศอื่นๆมิหนำซ้ำยังได้เงินอีกเป็นกอบเป็นกำ ความจริงที่น่าเจ็บใจก็คือ หนึ่งในสถานที่ทิ้งขยะเหล่านี้คือประเทศไทยของเรา

ขยะที่ถูกตั้งชื่อใหม่ว่า "ปุ๋ยเคมี" นอกจากจะแปรรูปมาจากขยะจากสงครามแล้ว ก็ยังได้จากขยะที่เกิดจากการผลิตปิโตรเลียมด้วย ด้วยการชักชวนให้หันมาใช้โดยให้เหตุผลว่าจะได้ผลผลิตที่มากขึ้นคุณภาพดีขึ้น แต่ไม่บอกเราซักคำว่า เป็นผลร้ายทำลายสุขภาพเราและทำให้ดินในที่ทำกินของเราเลวลง จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดภาวะมลพิษขึ้นมากมาย (คลิกลิงค์เพื่ออ่านข้อมูล : มลพิษทางน้ำ , มลพิษทางดิน)  นอกจากจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของร่างกาย ทั้งเกษตรกรเอง และผู้บริโภคโดยตรงแล้ว สารเคมีเหล่านี้ก็ยังทำลายน้ำ ทำลายดินให้ตายลงอย่างช้าๆ แล้วน้ำที่เคยมีปลา นาที่เคยมีข้าว ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันดี ว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นสุวรรณภูมิที่มีความสมบูรณ์หนักหนา ทุกวันนี้เราทำเกษตรกันยากลำบากขนาดไหน ใช้ปุ๋ยเคมีกันจนมือเปื่อย ฉีดพ่นยาเคมีตอนเช้า พอตกเย็นนอนซม ไหนจะเป็นหนี้สินเพราะค่าปุ๋ยค่ายาแพงเหลือเกินทำไปแล้วก็ขาดทุน ทำสวนไปซักพักดินเสียก็ย้ายบ้านย้ายที่อยู่ที่ทำกิน หลายคนพยายามส่งลูกเข้าเรียนในเมืองเพื่อหาอาชีพใหม่เพราะอาชีพเกษตรกรยึดถือไว้ไม่ได้ยั่งยืนอีกต่อไป

หากเรายังคงยึดมั่นในการใช้เคมีเพื่อหวังเพียงผลผลิต(ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ดี) ก็เท่ากับว่าเรายังคงใส่สารพิษลงไปในสิ่งแวดล้อม ส่งยาพิษมาให้ผู้บริโภค เสพสารพิษในทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยและฉีดพ่นยา ทำลายที่ดินทำกินของลูกหลานเราทุกวัน บทความนี้อาจฟังดูรุนแรงและแทงใจ แต่มันก็เป็นความจริง

ทางตันด้านการเกษตรไทยวันนี้ คงต้องพึ่งพาการทำเกษตรธรรมชาติแนวใหม่ของคิวเซ โดยใช้ระบบจุลินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ฮอร์โมนชีวภาพ ซึ่งจะทำให้เราประกอบอาชีพเกษตรกันได้อย่างยั่งยืน อยากจะบอกให้ใครหลายคนอย่าเพิ่งละทิ้งการเป็นเกษตรกรกันไป หันมาร่วมมือกันเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิด "จุดเปลี่ยน" ครั้งใหม่กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ พร้อมทั้งมีการวางแผนให้เป็น "อุตสาหกรรมเกษตร" ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกันคนละไม้คนละมือค่อยๆเปลียนกันไปเพื่อให้ชีวิตเกษตรกรไทยดีขึ้น ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพวกเราและลูกหลานของพวกเราทุกคน โตตโต้จะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ










สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-07-29 (1439 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©