การบำรุงดินและการใส่ปุ๋ยสวนผลไม้
๑. การบำรุงดิน
ในบรรดาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตทั้งทางกิ่ง ใบ และการผลิดอกออกผลของไม้ผล นอกจากฟ้าอากาศแล้ว อาหารพืชหรือปุ๋ยนับว่าเป็นปัจจัยโดยตรงในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช อาหารพืชเกือบทั้งหมดจะได้มาจากดิน ชาวสวนจึงมักจะคำนึงถึงเรื่องดินแต่เพียงอย่างเดียว ในปีหนึ่งๆ ต้นไม้จะดูดอาหารไปใช้เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่มีการเติมธาตุอาหารลงไปแทนส่วนที่สูญหายไป จะทำให้ดินจืดลงทุกทีและในที่สุดดินที่ว่านั้นจะใช้ปลูกต้นไม้ไม่ได้ผล เมื่ออาหารไม่เพียงพอ การเจริญเติบโตของพืชก็จะผิดปกติ และในที่สุดพืชอาจจะตายได้
พืชต้องการธาตุอาหารต่างๆ จากดิน คือไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซี่ยมแมกนีเซียม กำมะถัน นอกจากนี้ต้องการธาตุ อาหารรอง เช่น แมงกานีส โบรอน ทองแดงเหล็ก สังกะสี และโมลีบดินัม อาหารพืชที่เราให้ลงไปในดินจะมีทั้งอินทรียสาร และอนินทรียสารอินทรียสาร เช่น ใบไม้ผุ หญ้าหมัก มูลสัตว์ จะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้นเช่น ทำให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี นอกจากนี้จะเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดินบ้าง แต่น้อยมาก ตัวอย่างเช่น มูลวัวหรือควาย จะมีธาตุอาหารโดยประมาณ คือ ไนโตรเจน ๐.๘-๑.๓% กรดฟอสฟอริก ๐.๓-๐.๙% เป็นต้น
ต้นไม้จะไม่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในทันที แต่จะปล่อยให้ปุ๋ยผุพังโดยผ่านกระบวนการต่างๆเสียก่อน และจะมีจุลินทรีย์ในดินเข้าช่วยด้วยอาหารพืชที่อยู่ในรูปอนินทรียสาร เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต แอมโมเนียมไนเตรต โซเดียมไนเตรต แอมโมเนียมฟอสเฟต ยูเรีย สารเหล่านี้ เป็นแหล่งที่มาของธาตุไนโตรเจน (N) สารพวกซุปเปอร์ฟอสเฟต ดับเบิลซุปเปอร์ฟอสเฟต แคลเซียมฟอสเฟต กระดูกป่น และแอมโมเนียมฟอสเฟตจะให้ธาตุฟอสฟอรัส (P) ส่วนสารที่ให้ธาตุโพแทช (K) ที่นิยมกันมากคือ โพแทสเซียมคลอไรด์ และโพแทสเซียมซัลเฟต ดินจำเป็นต้องได้ธาตุอาหารจากปุ๋ยอนินทรีย์เมื่อดินที่ไม้ผลขึ้นอยู่นั้นมีธาตุอาหารต่างๆ ไม่เพียงพอ การใส่ปุ๋ยควรกระทำเมื่อพืชขาดธาตุอาหารและใส่ในจำนวนพอดีไม่ขาดไม่เกินตลอดจนให้ธาตุอาหารที่พืชต้องการ
|
|
๒. การใส่ปุ๋ยสวนผลไม้
การให้ปุ๋ยไม้ผลนั้นแตกต่างจากการให้ปุ๋ยพืชที่มีรากตื้นๆ เช่น พืชไร่หรือผัก และเนื่องจากไม้ผลยืนต้นมีอายุยืนนานผลของการใส่ปุ๋ยจึงมีความสำคัญยิ่งกว่า เพราะการขาดธาตุอาหารบางอย่างใช้เวลานานจึงจะแสดงอาหารให้เห็น การให้ปุ๋ยไม้ผลมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาหลายอย่างด้วยกัน เช่น ดิน อายุของต้นชนิดของไม้ผล ปริมาณน้ำฝน ตลอดจนวิธีปฏิบัติงานสวน จึงไม่สามารถกำหนดวิธีและอัตราการให้ปุ๋ยที่แน่นอนตายตัวลงไปได้ ฉะนั้นการให้ปุ๋ยในแต่ละสวนอาจแตกต่างกันออกไป สำหรับหลักทั่วไปในการพิจารณาให้ปุ๋ย ควรมีดังนี้
๒.๑ ควรทราบปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินหรือในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ว่ามีเพียงพอหรือไม่และธาตุอาหารเหล่านั้นพืชสามารถจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร การทดสอบเพื่อหาปริมาณธาตุอาหารอาจทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การวิเคราะห์ดิน การวิเคราะห์ส่วนของพืชและการทดลองปุ๋ย ตลอดจนการสังเกตอาการของต้นไม้
๒.๒ ควรทราบความต้องการของต้นไม้ในระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโตว่าระยะไหนต้นไม้ต้องการอาหารมากที่สุด และระยะไหนต้นไม้ต้องการธาตุอาหารอะไรมาก ปกติเราแบ่งการเจริญเติบโตของต้นไม้ออกเป็น ๒ ตอน คือ การเจริญทางกิ่งใบ กับการเกิดดอกติดผล ระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโตจะต้องการธาตุอาหารแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น กล้วยเมื่อเราปลูกจากหน่อ ในช่วง ๓ เดือนแรกจะกินปุ๋ยน้อย พอเริ่มเข้าเดือนที่ ๔ ซึ่งเป็นระยะแตกเนื้อสาวของกล้วย และจะกินเวลาจนถึงสิ้นเดือนที่ ๖ ช่วงนี้กล้วยต้องการปุ๋ยเป็นจำนวนมากและต้องการไนโตรเจนสูง จึงควรโหมให้ปุ๋ยตั้งแต่เดือนที่ ๔ ถึงเดือนที่ ๖ พอเลยระยะนี้ไปแล้วพืชจะต้องการปุ๋ยลดลง ถ้าเราใส่ปุ๋ยมากพืชก็จะนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นการให้ปุ๋ยกล้วยเมื่อเลยเดือนที่ ๖ หลังจากปลูกไปแล้วควรเป็นปุ๋ยที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพของกล้วย นั่นคือ ควรมีธาตุโพแทชสูง
๒.๓ ควรใส่ปุ๋ยเพื่อให้ต้นไม้ให้ผลกำไรมากที่สุด พืชโดยทั่วไปต้องการธาตุอาหาร N:P:K: ในอัตราส่วน ๕:๑:๒ ซึ่งในอัตราส่วนนี้ธาตุอาหารทั้ง ๓ จะมีอำนาจเท่าๆ กัน และธาตุอาหารจะเป็นประโยชน์ต่อพืชมากที่สุด หรือจะกล่าวอีกอย่าง หนึ่งถ้าดินปลูกพืชไม่มีธาตุอาหารอะไรอยู่เลย และสภาพแวดล้อมอื่นเหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช ถ้าเราให้ปุ๋ยพืช N:P:K: ในอัตรา ๕:๑:๒: แล้วพืชนั้นจะเจริญเติบโตสามารถให้ดอกผลอย่างดียิ่งเพราะธาตุทั้งสามไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
๒.๔ การใส่ปุ๋ยควรแบ่งใส่หลายๆ ครั้งต่อปีธาตุอาหารบางอย่าง เช่น ไนโตรเจน เมื่อให้ลง ไปในดินแล้วจะไหลซึมได้ง่าย ถ้าเราให้ในปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวพืชจะเอาไปใช้ไม่ทัน และธาตุอาหารอื่นๆ ก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน กล่าวคือ พืชจะทยอยใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปุ๋ยเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การใส่ปุ๋ยจึงควรแบ่งใส่ ๒-๓ ครั้ง หรือมากกว่าต่อปี ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงอายุของต้นไม้ด้วยไม้ผลที่ยังเล็กอยู่ควรแบ่งใส่หลายๆ ครั้ง เพราะระบบรากยังไม่แข็งแรงพอ ไม้ผลที่โตแล้วมักแบ่งใส่เป็น ๓ ครั้งต่อปี เช่น ครั้งแรกให้ก่อนหรือต้นฤดูฝน ครั้งที่สองให้ตอนปลายฤดูฝน และอีกครั้งหนึ่งตอนก่อนออกดอก หรือหลังเก็บเกี่ยวผลแล้วอย่างไรก็ดีควรพิจารณาสภาพท้องที่ และชนิดของไม้ผลประกอบด้วย
|
|
guru.sanook.com/enc_preview.php?id=1169 -
เกษตรนราธิวาส…แนะนำการดูแลสวนไม้ผลช่วงหน้าแล้ง
นายสง่า เดชารัตน์ เกษตรจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า จากการเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน จังหวัดนราธิวาสประสบสภาวะความแห้งแล้ง ทำความเสียหายให้กับสวนไม้ผลของเกษตรกร จึงขอแนะนำให้เกษตรกรหมั่นฟังข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำ การดูแลสวนไม้ผลในช่วงหน้าแล้งแก่เจ้าของสวน ดังนี้
1. ให้เกษตรกรสำรวจแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ คลอง เหมือง ฝาย สระน้ำ บ่อน้ำตื้น บ่อบาดาล ที่มีอยู่ในบริเวณสวนหรือบริเวณใกล้เคียง ว่ามีน้ำเพียงพอที่จะให้ในช่วงหน้าแล้งหรือไม่ และให้ตรวจสอบเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์อื่น ๆ และซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานได้
2. ไม่ควรขุดสระน้ำให้ลึกมาก เพราะจะทำให้ระบบน้ำผิวดินถูกทำลาย รากพืชไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ควรใช้วิธีหาแหล่งน้ำต้นทุนต่ำมาเพิ่มในสระหรือการเจาะบาดาลเพื่อดึงน้ำใต้ดินมาใช้ประโยชน์แทน
3. ปล่อยให้วัชพืชขึ้นบริเวณโคนต้น และทรงพุ่มซึ่งจะช่วยรักษาความชื้นให้กับต้นไม้ผล เมื่อรดน้ำต้นไม้เล็กน้อย วัชพืชจะเขียวสดคลุมโคนต้น และดูดซับความชื้นจากน้ำค้างเวลากลางคืน
4. คลุมโคนต้นด้วยวัสดุคลุมโคน ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ต้นกล้วยผ่าซีกคว่ำไว้บริเวณโคนต้น เศษใบไม้ หญ้า ฟางข้าว เปลือกมะพร้าว โดยคลุมจากโคนต้นจนถึงแนวรัศมีทรงพุ่ม
5. ใช้วัสดุพรางแสง เช่น ใบมะพร้าว ตาข่ายพรางแสง (แสลน) หรือหญ้าคา เพื่อช่วยลดการคายน้ำของใบพืชและการระเหยของน้ำบริเวณโคนต้น
6. งดการใส่ปุ๋ยในช่วงแล้ง เพื่อชะลอการเกิดยอดอ่อน รากอ่อน ซึ่งมีความต้องการน้ำและความชื้นสูง หากให้น้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้ต้นไม้ตายได้ง่าย
7. การให้น้ำไม้ผลระยะนี้ควรให้น้ำอย่างประหยัด โดยให้น้ำบริเวณรัศมีทรงพุ่มเท่านั้น และอย่าให้น้ำมากจนไหลทั่วสวน เพราะเป็นการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์
8. ปรับเปลี่ยนเวลาการให้น้ำ ควรให้น้ำในตอนเช้าหรือตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะ ตอนเย็นต้นไม้จะดูดซับน้ำได้เต็มที่ตลอดทั้งคืนและเป็นปัจจัยสำคัญในการจับยึดน้ำค้างในตอนกลางคืนด้วย
9. ปรับเปลี่ยนหัวปล่อยน้ำ จากหัวปล่อยน้ำที่ใช้น้ำสิ้นเปลืองเป็นหัวปล่อยน้ำที่ประหยัด เช่น ระบบน้ำหยด ระบบน้ำพ่นฝอยละเอียด เป็นต้น
10. นำน้ำที่ใช้แล้วในครัวเรือนมารดต้นไม้ โดยนำน้ำจากการล้างจาน ซักผ้าน้ำที่ 2 และ 3และน้ำล้างรถมารดต้นไม้ โดยทำบ่อรวบรวมน้ำไว้บริเวณบ้าน ปรับวิธีการอาบน้ำในห้องน้ำของสมาชิกในครอบครัวทุกคนให้น้ำในห้องน้ำไหลไปที่โคนต้นไม้
11. ลดอัตราการไว้ผลต่อต้นให้น้อยลง เพื่อการประหยัดน้ำและพัฒนาผลผลิตให้ดีเหมือนเดิม
12. ไม่ควรเผาขยะ เศษใบไม้ กิ่งไม้ในสวน เพราะเป็นการเพิ่มหมอกควันให้กับสวน ควรให้เศษพืชเหล่านั้นย่อยสลายเองตามธรรมชาติจะได้ประโยชน์มากกว่า
นายสง่า เดชารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หากเกษตรกรเจ้าของสวนไม้ผลปฏิบัติได้ตามขั้นตอนดังกล่าว ก็จะลดความเสียหายลงได้ เกษตรกรรายใดสนใจขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส โทร. 0 7353 2218, 0 7353 2219
ศูนย์บริการข้อมูลและสารสนเทศ สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาสรัตนา ถิระโชติ ข้อมูล/ข่าวเมษายน 2551
www.narathiwat.doae.go.th/province/songserm.../new13.51.doc -
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.