การจัดการศัตรูพืช (Pest management) เป็นแนวทางการควบคุมศัตรูพืชอย่างชาญฉลาด โดยเลือกวิธีที่เหมาะสมอย่างน้อย 2 วีธีมาใช้ร่วมกันเพื่อควบคุมศัตรูพืชให้อยู่ในระดับเศรษฐกิจ (Economlc threshold) ได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีผลทำลายสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด โดยทั่วไปจะใช้วิธีการควบคุมโดยตรง (direct tactics) วิธีใดวีธีหนึ่งที่เหมาะสม เช่นการใช้สารเคมี การใช้พันธุ์ต้านทาน และการใช้วิธีเขตกรรม เป็นต้น ร่วมกับกลยุทธ์สนับสนุน (supportive tactics) เช่น ชีววิทยา นิเวศวิทยา การประเมินความเสียหาย การเก็บตัวอย่างและการศึกษาความเสียหายทางเศรษฐกิจ เเละการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ มาใช้ผสมผสานกันเพื่อให้การควบคุมศัตรูพืชมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะเรียกว่า การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน(lntegrated Pest Management หรือ IPM) การจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการหรือการบริหารศัตรูพืชก็ได้ โดยสาระสำคัญของการจัดการศัตรูพืชในโครงการพัฒนาวิชาการนี้จะเน้นในเรื่องของแมลงศัตรูผัก เป็นหลัก
ทำไมต้องศึกษาหลักเกณฑ์การจัดการศัตรูพืช
เนื่องจากโดยทั่วไปเกษตรกรมักป้องกันความเสียหายที่เกิดจากศัตรูพืชด้วยการใช้สารคมี เพราะเป็นวิธีที่รวดเร็ว เห็นผลทันใจ ประหยัดเวลาและแรงงาน แต่ผลที่ตามมาจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชคือ
1. ศัตรูพืชสร้างและสะสมความต้านทานต่อสารกำจัดศัตรูพืชหลายชนิค และอาจทำให้มีการระบาดของศัตรูพืชชนิดอื่นๆ หรือศัตรูพืชชนิดเดิม แต่ความรุนเเรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากการสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดศัตรูพีช
2. สร้างปัญหาสารพิษตกค้างในสภาพแวดล้อม ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณะชนและสังคม เพราะมนุษย์ให้ความสำคัญต่อสุขภาพพลานามัยมากขื้น
3. สารเคมีสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์นอกเป้าหมาย รวมไปถึงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ เเละสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย
4. สารเคมีส่วนใหญ่ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น
หลักการจัดการศัตรูพืช แนวทางในการจัคการศัตรูพืชพอสรุปหลักการได้ดังนี้
1. ควรปล่อยให้ศัตรูพืชที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงหลงเหลืออยู่ไนพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งอาหารที่ดีของศัตรูธรรมชาติบางชนิด
2. การจัดการศัตรูพืชต้องพิจารณาทั้งระบบนิเวศ เพราะทุกๆองค์ประกอบของระบบนิเวศทางการเกษตรล้วนมีความเกี่ยวพันกัน การเปลี่ยนเเปลงองค์ประกอบใด ย่อมมีผลกระทบทั้งระบบ
3. ควรเลือกใช้วิธีการควบคุมโดยวิธีเขตกรรมให้มากที่สุศ เพราะการจัดการศัตรูพืชมีเป้าหมายที่จะดัดแปลงสภาพแวคล้อมเพื่อให้ปัจจัยต่างๆตามธรรมชาติได้แสดงบทบาทสูงสุคในการควบคุมศัตรูพืช เช่น รักษาศัตรูธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยการส่งเสริมให้มีแหล่งอาหารเพิ่มเติม
4. การเลือกวิธีการป้องกันกำจัด จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศโดยรวมเสมอ พึงตระหนักอยู่เสมอว่า วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชวิธีใคๆ ก็ตาม มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่นการใช้สารเคมีเป็นตัวอย่างอันดีที่ชี้ให้ห็นว่าการใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง อาจก่อให้เกิดผลเสียไค้ ซึ่งวิธีการทำนองเดียวกันนึ้เกิดขึ้นกับวิธีการอื่นๆได้เช่นกัน
5. การจัดการศัตรูพืชต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนักวิชาการในสายงานต่างๆ เช่น พืชไร่ พืชสวน ปฐพีวิทยา อุตุนิยมวิทยา สรีรวิทยาของพืชและสัตว์ กีฏวิทยา เเละโรคพืช เป็นต้น เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการวางแผนการดำเนินการจัดการศัตรูพืชอย่างครบครัน
แนวทางการจัดการแมลงศัตรูพืช แนวทางในการจัตการแมลงศัตรูพืชอาจเริ่มโดยการปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. วิเคราะห์ความสำคัญของแมลงศัตรูพืชและกำหนดระดับเศรษฐกิจของเเมลงศัตรูพืซที่สำคัญๆ (key pest) และระบาคทำความเสียหาเเป็นประจำ ซึ่งแมลงศัตรูเหล่านี้เป็นเป้าหมาสำคัญูที่จะต้องดำเนินการควบคุม โดยปกติการกำหนดระดับเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ มากมาย จึงต้องดำเนินการโดยความร่วมมือของนักวิจัยหลายสายงาน
2. ประสานวิธีการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชให้อยู่ต่ำกว่าระดับเศรษฐกิจอย่างถาวร โดยอาจนำแมลงศัตรูธรรมชาติจากเเหล่งอื่นเข้าในพื้นที่เพื่อช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืช การโช้วิธีทางเขตกรรม การใช้พันธ์ต้านทานต่อเเมลงศัตรูพืช หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ไม่เหมาะสมกับเเมลงศัตูรพืช โดยการทำลายแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย หรือแหล่งวางไข่
3. หาวิธีการตรวจวัดระดับประชากร (monitoring technique) ที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงระดับประชากรของแมลงศัตรูพืชเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจดำเนินการจัดการแมลงศัตรูพืช
4. เลือกวิธีการกำจัดแมลงศัตรูพืชที่หมาะสม (direct tactics) ร่วมกับข้อมูลสนับสนุน (supportive&tactics) มาควบคุมเเมลงศัตรูพืชให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำลายสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด ลงทุนคุ้มค่ากับผลตอบแทนและเป็นที่ยอมรับของสังคม
วิธีการจัดการศัตรูแมลงศัตรูพืช
1. การป้องกันแมลงศัตรูพืช การป้องกันแมลงศัตรูพืชเป็นการควบคุมประชากรแมลงศัตรูในระบบนิเวศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ไม่มีชีวิต (abiotic factors) เช่น อุณหภูมิ ความชื้น กระเเสลม ปริมาณน้ำ เป็นต้น และปัจจัยที่มีชีวิต (biotic factors) เช่น แมลงห้ำ แมลงเบียน จุลินทรีย์ เป็นต้น
2. การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยตรง (direct tactics)
2.1 การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยวิธีกายภาพและวิธีกล (physical and mechanical control) เป็นวิธีการควบคุมแมลงโดยตรงหรือทางอ้อมก็ได้ โดยทำให้สภาพแวคล้อมไม่เหมาะสมต่อการเข้าทำลาย การเคลื่อนย้าย การอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของเเมลง เช่น การใช้กับดักแสงไฟ กับดักกาวเหนียวล่อแมลงแล้วนำไปทำลาย การเก็่บแมลงในระยะต่างๆไปทำลาย เป็นต้น
2.2 การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยวิธีเขตกรรม (cultural control)
- การทำความสะอาค เพื่อกำจัดสิ่งเน่าเสีย เศษซากพืช วัชพืชและพืชอาศัย ที่อาจเป็นแหล่งขยายพันธุ์ วางไข่ และที่อยู่อาศัยของแมลง
- การปลูกพืชหมุนเวียนและปลูกพืชต่างชนิดสลับกัน เพือจำกัดปริมาณพืชอาหารของแมลง
- การเลือกวันปลูก เป็นการกำหนดช่วงเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ระยะอ่อนเเอของพืชตรงกับระยะการทำลายของแมลง
- การปลูกพืชกับดักหรือปลูกพืชล่อ เป็นการปลูกพืชพันธุ์อ่อนแอต่อแมลงเพื่อล่อให้แมลงลงทำลายและวางไข่ แล้วจึงทำการควบคุมแมลงศัตรูพืชก่อนการปลกพืชหลัก
- การจัดการระบบการให้ปุ๋และน้ำ ควบคุมการให้ปุ๋ยและน้ำอย่างเหมาะสมกับชนิตของพืช อายุของพืช เพื่อให้พืชแข็งแรงอยู่เสมอ
-การถอนแยกเเละการตัดแต่ง เพื่อป้องกันการหลบซ่อนของแมลงศัตรูพืช
- การจัดการฟาร์มทั่วไป
2.3 การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี (biological contro) เป็นการใช้ศัตรูธรรมชาติหรือสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ในการทำลายหรือควบคุมแมลงศัตรูพืช ไค้แก่ การใช้ตัวห้ำ (predators) ตัวเบียน (parasitoids) จุลินทรีย์ก่อโรค (pathogens) เช่น แบคทีเรีย ไวรัส รา ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง เป็นต้น และศัตรูธรรมชาติชนิดอื่นๆ
2.3.1 ตัวห้ำ (predators) ตัวห้ำ หมายถึง แมลงที่กินแมลงชนิดอื่นๆเป็นอาหาร โดยการกินนั้นจะกินเหยื่อ (prey) หลายตัวกว่าจะเจริญเติบโตครบวงจรชีวิต การกินเหยื่อจะกินไปเรื่อยๆ และมักจะไม่จำกัดวัยของเหยื่อ ตัวห้ำที่รู้จักกันดี เช่น ตั๊กเเตนตำข้าว แมลงปอ มวนตัวห้ำ ด้วงเต่าชนิคต่างๆ แมลงช้างปีกใส มวนเพชฌฆาต เป็นต้น
2.3.2 ตัวเบียน (parasitoids) ตัวเบียน หมายถึง แมลงที่เบียดเบียนเหยี่อ (host) หรือเกาะกินอยู่กับเหยือจนกระทั่งเหยื่อ ตาย ซึ่งจะเป็นในช่วงที่ตัวเบียนเป็นตัวอ่อนเท่านั้น เมื่อออกเป็นตัวเต็มวัยจะหากินอิสระ และในช่วงอายุหนึ่งๆต้องการเหยื่อเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตัวเบียนที่รู้จัก เช่น แตนเบียนไข่ผีเสื้อ Trichogramma sp. แตนเบียนหนอนผีเสื้อ Apanteles sp. แตนเบียนเพลี้ยอ่อน Aphidius sp. เป็นต้น
2.3.3 จุลินทรีย์ก่อโรค (pathogens) เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิคโรคกับแมลง โดยจะทำลายเฉพาะแมลงศัตรูพืชที่เป็นเป้าหมายและปลอดภัยต่อผู้ใช้ มีจุลินทรีย์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นสารชีวภัณฑ์กำจัคเเมลงศัตรูพืช 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส รา และไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
- แบคทีเรียบีที (Bacillus thuringiensis) แบคทีเรียบีที เป็นแบคทีเรียแกรมบวก เซลล์มีลักษณะเป็นรูปแท่งต่อกันเป็นสายลูกโซ่ สร้างสปอร์และผลึกโปรตีน ซึ่งมีส่วนประกอบของเดลต้า เอนโดท๊อกซิน (delta endotoxin) ทีบีฤทธิ์ไนการทำลายแมลง ความเป็นพิษของผลึกโปรตีนจะมีความจำเพาะเจาะจงกับกลุ่มของแมลง
แบคทีเรีย บีที ต่างสายพันธ์จะเข้าทำลายแมลงต่างชนิดกัน เมื่อแมลงกินเเบคทีเรียบีทีซึ่งมีส่วนประกอบของสปอร์และผลึกโปรตีนเข้าไปในกระเพาะอาหาร สภาพความเป็นด่างในกระเพาะอาหารส่วนกลางจะช่วยย่อยสลายผลึกโปรตีนขนาดใหญ่ไห้ได้โปรท็อกซิน (protoxin) และเอนไซม์โปรทิเอส (proteases) จะย่อยสลายโปรท็อกชินได้ สารพิษเข้าทำลายเซลล์ผนังกระเพาะอาหาร ซึ่งจะบวมและเเตกออก เกิดเป็นรอยแยก ทำให้ของเหลวต่างๆภายในร่างกายแมลงไหลมาปะปนกัน มีผลให้สมดุลต่างๆในร่างกายแมลงเสียไป แมลงจะหยุดกินอาหาร เคลื่อนไหวเชื่องช้า แสดงอาการโลหิตเป็นพิษ ชักกระตุก เป็นอัมพาต และตายไปในที่สุด
-ไวรัส เอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis virus, NPV) ไวรัส เอ็นพีวี เป็นจุลินทรีย์อีกชนิดที่ทำให้เกิดโรคกับเเมลง อยู่ในวงศ์ Baculoviridae ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ มีอนุภาคไวรัสที่เรียกว่า นิวคลีโอแคปสิด (nucleocapsid) เป็นท่อนตรงมีผนังล้อมรอบ และสร้างผลึกโปรตีนห่อหุ้มอนุภาคไวรัส จึงสามารถคงทนต่อสภาพแวตล้อมภายนอกตัวแมลงไค้ระคับหนึ่ง มีความจำเพาะเจาะจงสูงและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ไวรัสจัดเป็นตัวเบียนที่แท้จริง (obligate parasite)เนื่องจากไม่มีองค์ประกอบต่างๆ เหมือนเซลล์ของสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องอาศัยกลไกของเซลล์ที่มันข้าไปอาศัยช่วยสร้างสิ่งต่างๆ ที่ต้องการเพื่อการขยายพันธุ์ ดังนั้นไวรัสจะเพิ่มปริมาณได้เมื่ออยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตที่เหมาะสมเท่านั้น เมื่อแมลงกินไวรัส เอ็นพีวี เข้าไป สภาพความเป็นด่างในกระเพาะอาหารของแมลงและเอนไซม์โปรทิเอส (proteases) จะย่อยสลายผลึกโปรตีน ปล่อยอนุภาคไวรัสออกมาเป็นอิสระ และสามารถผ่านออกจากเซลล์ท่ออาหารเข้าไปไนเลือดของแเมลง และแพร่กระจายเข้า ไปทำลายเซลล์อี่นๆ ต่อไป ทำให้แมลงเคลื่อนไหวช้าลง ไม่กินอาหาร มีสีซีดจางจนขาวขุ่น ตัวบวมและหดสั้น หนอนมักจะขึ้นไปอยู่บนส่วนสูงของต้นพืช และตายโดยใช้ขาเทียมเกาะกับต้นพืชแล้วห้อยหัวลงมาเป็นรูปตัววี (V) หัวกลับ
- ราศัตรูแมลง (Entomopathoginic fungi) ราจัดเป็นจุลินทรัย์กลุ่มใหญ่ที่มีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย ลักษณะโดยทั่วไป คือมีเส้นไย (mycelium) สร้างสปอร์ (spore) หรือคอนนิเดีย (conidia) ราส่วนมากจะเข้าสู่แมลงทางผนังลำตัว อาจมีบางชนิดที่เข้าทางช่องเปิดต่างๆ ของเเมลง เช่น รูหายใจหรือบาดเเผลที่ผนังลำตัว เมื่ลสปอร์ของราตกลงบนผนังลำตัวแมลงและมีความชื้นที่เหมาะสม ราจะงอกโดยสร้าง germ tube แทงทะลุผ่านผนังลำตัวแมลงเข้าไป โดยปกติจะเข้าบริเวณที่มีผนังบางๆ เช่น รอยต่อระหว่างปล้องหรือข้อต่อรยางค์ต่างๆ การแทงทะลุผ่านผนังลำตัวแมลงจะอาศัยเอนไซม์ต่างๆ ที่ราสร้างขึ้น เช่น ไลเปส (1ipase) ช่วยย่อยสลายชั้นไขมันที่เคลือบอยู่บนผนังลำตัว หรือเอนไซม์ไคติเนส (chlitinase) และโปรทิเอส(protease) ช่วยย่อยสลายชั้นต่างๆของผนังลำตัว เมื่อราเข้าไปในช่องว่างภายในตัวแมลง จะเจริญสร้างเส้นใยจนเต็มตัวแมลง แย่งธาตุอาหารและทำลายอวัยวะต่างา ภายในตัวแมลง เมื่อแมลงตายราจะแทงทะลุผนังลำตัวออกมา เพื่อสร้างก้านชูสปอร์ และสปอร์ทำให้เเมลงมีลักษณะคล้ายมัมมี่ คือเป็นซากแห้งเเข็งและมีสปอร์ขื้นคลุมทั้งตัว นอกจากนี้ยังมีราบางชนิดสร้างสารพิษทำลายแมลงอีกต้วย ตัวอย่างของราที่นำมาใช้กำจัคแมลงอย่างได้ผล เช่น ราขาว Beauveria bassiann ใช้กำจัดหนอนผีเสื้อชนิดต่างๆ รา Hirsutella thompsonii ใช้กำจัดไรแดง และรา Paecilomyces fumosoroseus ใช้กำจัดแมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ เป็นต้น
-ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง (Entomopathoginic nematode) ไส้เดีอนฝอยที่เข้าทำลายแมลงนั้นอยู่ในวงศ์ Steinernematidae และ Heterorhabditidae โดยไส้เดือนฝอยทั้ง 2 วงศ์ มีลักษณะพิเศษกว่าไส้เดือนฝอยชนิดอื่นๆ ตรงที่ ตัวอ่อนวัยที่ 3 ซึ่งเป็นระยะเข้าทำลายแมลง (lnfective Juvenile หรือ IJ) จะมีแบคทีเรียซึ่งมีความสัมพันธ์เเบบอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiotic bacteria) อยู่ในลำไส้ส่วนหน้า โดยเเบ8ทีเรียที่อาศัยร่วมกับไส้เดือนฝอยวงศ์ Steinernematidae อยู่ในสกุล Xenorhabdus sp. และวงศ์ Heterorhabditidae อยู่ในสกุล Photorhabdus sp. เมี่อไส้เดือนฝอยเข้าสู่ภายในลำตัวแมลงทางปาก ทวาร รูหายใจ ก็จะปลดปล่อยแบคทีเรียออกมาและจะแบ่งเซลล์ขยายปริมาณในเลือดของเเมลงอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุทำให้เเมลงที่อาศัยตัวนั้นตาย
2.4 การใช้พันธุ์ต้านทานแมลงศัตรูพืช (Insect resistance to plant)
ความต้านทานของพืชต่อเเมลง เป็นลักษณะซึ่งทำให้พืช หลีกเลี่ยง ทนทาน หรือทดแทนความเสียหายเนื่องจากการทำลายของแมลงได้ โดยการใช้พันธุ์ต้านทานแมลงศัตรูพืชหลายๆพันธุ์ปลูกสลับหมุนเวียนกัน เเละสามารถใช้ผสมผสานกับการใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ เชื้อจุลินทรีย์ ตลอดจนสารเคมีกำจัดแมลงได้ดี
2.5 การใช้สารเคมีในการควบคุมแมลงศัตรูพืช (Chemical control)
สารเคมีที่ใช้จะมีผลในการรบกวนสรีรวิทยา หรือพฤติกรรมของเเมลงศัตรูเป้าหมาย ซึ่งอาจแบ่งกลุ่มเป็นสารอนินทรีย์ (inorganic) และสารอินทรีย์ (organic) เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้มากที่สุต เนื่องจาก สามารถใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว แต่มีข้อเสียหลายอย่าง ได้แก่ เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ สิ่งมีชีวิตนอกเป้าหมาย มีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม แมลงศัตรูพืชหลายชนิดสามารถสร้างความต้านทานได้ ส่งผลให้การป้องกันกำจัดยากยิ่งขึ้น
2.6 การทำสิ่งมีชีวิตให้ฆ่าตัวเอง (Autocidal control)
วิธีการนึ้คือ การฉายรังสีทำให้ตัวผู้เป็นหมัน แล้วปล่อยไปในธรรมชาติเพื่อให้แข่งขันผสมพันธุ์ ทำให้ประชากรแมลงศัตรูพืชลตลงมากจนกระทังเกือบถูกกำจัดหมดไป
2.7 การใช้สารล่อ (attractant) และสารไล่ (repellent)
2.8 การใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของเเมลง (growth regulator)
เป็นสารเคมีที่ช่วยชะงักการจริญเติบโตของแมลง เช่น มีระยะตัวอ่อนนานมากขึ้นหรือไม่ เป็นตัวเต็มวัยทำให้ไม่มีโอกาสขยายพันธุ์ เป็นต้น
2.9 การใช้ด่านกักกันพืช (plant quarantine)
เนื่องจากในปัจจุบันมีการติดต่อกันระหว่างประเทศ ทำให้มีการเเพร่ระบาคของแมลงศัตรูพืชจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งได้ ซึ่งการมีด่านกักกันพืชจะช่วยทำให้แมลงศัตูรพืชชนิตใหม่ๆ เกิดการระบาดเข้ามาน้อยลง
ที่มา : เอกสารประกอบการสอน การจัดการศัตรูพืชในระบบไฮโดรโพนิกส์, ดร. จริยา จันทร์ไพเเสง, ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน เขตจตุจักร กรุงเทพ 10980, โทรศัพท์ 0-2942-350, 08-4642 6653