เทคนิคการปลูกพืชแบบผสมผสาน ... อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ข้อความ :
"สิ่งใดที่เป็นธรรมชาติ สิ่งนั้นจะมีความสมดุลในตัวของมันเอง" นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มทำการเพาะปลูกพืช ธรรมชาติก็เริ่มถูกทำลาย นักนิเวศวิทยากล่าวไว้ว่าสภาพที่พืชขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความแตกต่างจากการเพาะปลูกพืชในหลายประการ เป็นต้นว่า การปลูกพืชทีกำหนดเวลาเก็บเกี่ยวค่อนข้างแน่นอน เกษตรกรมักปลูกพืชชนิดเดียวและปลูกพร้อม ๆ พันธุ์พืชที่ปลูกก็เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีการบำรุงรักษา ใส่ปุ๋ย ให้น้ำสม่ำเสมอ เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการระบาดของโรคแมลงและศัตรูพืชอื่น ๆ มากมายตามมา และในช่วง พ.ศ. 2483-2503 นักวิทยาศาสตร์ขณะนั้นมีแนวคิดว่า การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชจำเป็นต้องกำจัดให้หมดสิ้น ซึ่งวิธีการที่ใช้กันแพร่หลาย คือ การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแต่เพียงอย่างเดียว สารฆ่าแมลงที่รู้จักกันดีในช่วงนั้นก็คือ ดีดีที ซึ่งมีราคาถูกและได้ผลดี ต่อมาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชจึงเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ปัญหาที่ตามมา พบว่ามีแมลงเกิดดื้อยา เกิดการระบาดของแมลงศัตรูพืชชนิดอื่นที่ไม่เคยเป็นปัญหามาก่อน เกิดพิษตกค้างของสารเคมีในธรรมชาติ เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งทางตรงและทางอ้อม สารเคมีทำลายแมลงและสัตว์ที่เป็นประโยชน์ ในประการสำคัญก็คือทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ในปี พ.ศ.2515 Rabb ได้เสนอหลักการในการจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน (Integrated Pest Management, IPM) กล่าวคือ ในการแก้ปัญหาศัตรูพืช ควรมีพิจารณาและเลือกใช้วิธีการในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชหลายวิธีร่วมกัน ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก และประสบความสำเร็จในหลายประเทศ ซึ่งการจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานสามารถลดการใช้สารเคมีได้ค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากสารเคมีปราบศัตรูพืชจะถูกนำมาใช้เป็นวิธีการสุดท้าย เมื่อตรวจพบว่าปริมาณศัตรูพืชมีมากถึงขั้นที่จะก่อให้เกิดความเสียทางเศรษฐกิจ ถ้าไม่ทำการป้องกันกำจัด
การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสานคืออะไร
การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน เป็นหลักการในการแก้ปัญหาศัตรูพืช โดยมีการพิจารณาเลือกและใช้วิธีการในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชหลายวิธีร่วมกัน เพื่อควบคุมปริมาณศัตรูพืชมิให้มีมากถึงขั้นทำความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเกษตรกรสามารถปฏิบัติได้
ในการดำเนินการกำจัดศัตรูพืช จะต้องทราบปัญหาศัตรูพืชในท้องถิ่นนั้นให้แน่ชัดเสียก่อนว่าศัตรูพืชชนิดใดที่ระบาดและทำความเสียหายรุนแรงทุกฤดูปลูก ศัตรูพืชชนิดใดที่ระบาดทำความเสียหายเป็นครั้งคราว ศัตรูชนิดใดที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่ระบาดถึงขั้นทำความเสียหายทางเศรษฐกิจ จากนั้น จึงกำหนดแนวทางป้องกันกำจัดโดยใช้วิธีการต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ปลูกพันธุ์ต้านทานต่อศัตรูพืชนั้น และใช้วิธีทางเขตกรรมเข้าช่วย เช่น กำหนดช่วงเวลาการปลูก การระบายน้ำออกจากแปลงช่วงแมลงระบาดมาก เป็นต้น และต้องมีการสำรวจตรวจนับการทำลายของศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ และถ้าพบว่าศัตรูพืชมีปริมาณมากถึงขั้นจะทำความเสียหายแก่พืชทางเศรษฐกิจก็ทำการป้องกันกำจัด โดยที่สารเคมีจะถูกนำมาใช้เป็นวิธีการสุดท้าย และต้องใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการ ค่าใช้จ่าย ความปลอดภัย ช่วงเวลา อัตรา รูปแบบและวิธีการใช้ให้ถูกต้อง
การจัดการศัตรูพืชดังกล่าวต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการต่าง ๆ มากมาย หลายด้านด้วยกัน ซึ่งวิชาการแต่ละด้านมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ประสบการณ์ของนักวิจัยนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ในประเด็นสำคัญทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจหลักการของการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน อนึ่ง ในทางปฏิบัติการจัดการศัตรูพืชไม่มีสูตรสำเร็จหรือกฎเกณฑ์ตายตัว หากแต่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ในขณะนั้นด้วย
ความสำเร็จของการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน เกษตรกรจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจและปฏิบัติด้วยตนเอง โดยรัฐให้การศึกษา มีการฝึกอบรม ทำแปลงสาธิต เป็นต้น
>> การจัดการศัตรูพืชในอดีต
นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก ความต้องการเพิ่มผลผลิตก็มีมากขึ้นตามลำดับ การป้องกันกำจัดศัตรูพืชจึงได้รับความสนใจมากขึ้น แต่เดิมเกษตรกรมีวิธีการกำจัดศัตรูพืชตามวิธีดั้งเดิม หรือที่เรียกว่าวิธีกล และวิธีเขตกรรมเป็นหลัก เช่น ใช้มือจับแมลงทำลาย ตัดแต่งกิ่ง พรวนดินถอนหญ้า หรือใช้วัสดุในท้องถิ่นเท่าที่จะหาได้มาเป็นอุปกรณ์ช่วย เช่น กับดักหนู กระดาษห่อผลไม้เพื่อกันแมลงเป็นต้น ต่อมาเกษตรกรหันมาใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช จนกล่าวได้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชเป็นปัจจัยหลัก และใช้เป็นประจำในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็น ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมาก เกิดมลพิษในสภาพแวดล้อมเป็นอันตราบต่อสุขภาพของเกษตรกรผู้บริโภค สารเคมีทำให้สมดุลธรรมชาติเสียไป ศัตรูธรรมชาติมากมายถูกทำลายก่อให้เกิดการระบาดของศัตรูพืชชนิดอื่นตามมา
นอกจากนี้การที่เกษตรกรปลูกพืชชนิดเดียวกันหรือปลูกเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจก่อให้เกิดการระบาดของแมลงหรือโรคได้ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2519 เกิดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำความเสียหายแก่ข้าว ในท้องที่ อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เนื่องจากเกษตรกรนิยมปลูกข้าว กข 1 กันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ผลผลิตสูงและแก้ปัญหาโรคใบสีส้มได้เป็นที่น่าพอใจ แต่ข้าว กข 1 ไม่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
>> จุดเริ่มต้นของการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน
จากปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำความเสียหายแก่การปลูกข้าวอย่างรุนแรง กรมวิชาการเกษตรได้จัดทำโครงการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนำเอาวิทยาการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวที่ได้จากการค้นคว้าทดลองมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม พยายามลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดให้น้อยที่สุดหรือใช้เมื่อจำเป็น ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดอันตรายและมลภาวะในสิ่งแวดล้อม
>> องค์ประกอบสำคัญในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในขณะนั้น คือ การใช้พันธุ์ต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ร่วมกับการสำรวจตรวจนับจำนวนแมลงก่อนการใช้สารฆ่าแมลง
1. การป้องกันกำจัดศัตรูข้าว
หลังจากวิธีการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวแบบผสมผสานถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในท้องที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ.2519 แล้ว ต่อมาในปี พ.ศ.2525 ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้เกิดการระบาดของศัตรูข้าวทั้งแมลง และโรค โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สาเหตุเนื่องจากเกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ กข 7 ซึ่งอ่อนแอต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกันอย่างกว้างขวาง และมักปลูกข้าวพันธุ์เดียวกัน จึงทำให้เกิดการระบาดและทำความเสียหายอย่างหนัก กรมวิชาการเกษตรจึงได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำโครงการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานขึ้น โดยความช่วยเหลือจากประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน การดำเนินงานขั้นตอนแรกจะแนะนำให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลด้วยความสมัครใจ หลังการปลูกข้าวแล้วจะทำการสำรวจและติดตามการระบาดของแมลงศัตรูข้าวและโรคข้าวทุกระยะการเจริญเติบโต แมลงที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนกอ หนอนห่อใบข้าว ในด้านโรคข้าว ได้มีการสำรวจและติดตามการระบาดของโรคข้าวและประเมินผลการป้องกันกำจัด โรคที่เป็นปัญหาสำคัญได้แก่โรคใบหงิก (โรคจู๋) ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคมาสู่ต้นข้าว
การป้องกันที่ได้ผลดีขณะนั้น คือ การใช้พันธุ์ข้าวต้านทานพันธุ์ กข 9 กข 21 และ กข 23 เนื่องจากแมลงไม่ชอบ โรคที่สำคัญอื่น ๆ เช่น โรคใบไหม้ โรคกาบใบแห้ง แนะนำให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวตอซังให้สั้นแล้วเผาทำลาย มีการติดตั้งกับดักสปอร์เพื่อเป็นข้อมูลในการคาดคะเนการเกิดโรค และแนะนำให้ใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราพ่นตามความจำเป็น ในด้านการกำจัดวัชพืช แนะนำให้เกษตรกรทำการป้องกันกำจัดวัชพืชทั้งก่อนและหลังการปลูกข้าวตามความจำเป็น เช่น การไถเตรียมดิน การควบคุมระดับน้ำในนาข้าว การใช้สารกำจัดวัชพืช เป็นต้น นอกจากนี้มีการแนะนำให้เกษตรกรป้องกันกำจัดหนูทั้งก่อนและหลังการปลูกข้าว เช่น ทำลายแหล่งอาศัยหนู ใช้เหยื่อพิษหลังปลูกข้าวตามความจำเป็น มีการตรวจพิษของสารกำจัดศัตรูพืชในเลือดเกษตรกร ตลอดจนพิษตกค้างในสภาพแวดล้อม
ในปี พ.ศ.2528 กรมวิชาการเกษตรได้ทำโครงการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานที่ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 500 ไร่ ปรากฏว่า สามารถแก้ปัญหาโรคใบหงิกของข้าวโดยแนะนำให้เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ กข 25 กข 21 และ กข 23 ซึ่งต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลพาหะสำคัญของโรคใบหงิก ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 44.8 ถังต่อไร่ และเกษตรกรยอมรับเทคโนโลยีนี้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น การใช้สารฆ่าแมลงลดลง และจากการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในต้นข้าว ดิน น้ำ และเมล็ดข้าว พบในปริมาณต่ำกว่าเดิมซึ่งแสดงว่าเกษตรกรพ่นสารเคมีน้อยลงและมีการพ่นสารอย่างถูกต้องและระมัดระวัง
ต่อมาในปี พ.ศ.2523-2533 ได้เกิดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและโรคใบหงิกในนาหว่านน้ำตมเขตชลประทาน 25 จังหวัด มีผลกระทบต่อผลผลิตข้าวของประเทศอย่างมาก สาเหตุเนื่องจากเกษตรกรนิมยมปลูกข้าวพันธุ์สุพรรณบุรี 60 อย่างแพร่หลายและต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องใช้วิธีป้องกันกำจัดที่เหมาะสมมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อลดการทำลายให้อยู่ในระดับต่ำกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด ขั้นตอนที่สำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนการดำเนินงานควบคุมศัตรูข้าว คือต้องคำนึงถึงความสำคัญของโรค แมลง และวัชพืชในท้องถิ่น เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมีความสำคัญมากในนาข้าวภาคกลาง โรคไหม้และหนอนกอมีความสำคัญในทุกภาค แมลงบั่วมีความสำคัญในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น ต่อจากนั้นต้องวินิจฉัยลักษณะอาการโรค ลักษณะการทำลายของแมลง ชนิดของโรค แมลง และวัชพืช สภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการระบาด หลังจากนั้น จึงเลือกใช้วิธีการควบคุมศัตรูข้าวให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ อันดับแรกได้แก่ แนะนำให้ใช้พันธุ์ต้านทาน แต่ไม่แนะนำให้ปลูกข้าวพันธุ์เดียวอย่างต่อเนื่องระยะยาว เพราะจะทำให้โรคและแมลงปรับตัวเข้าทำลายข้าวได้อีก นอกจากนั้นให้ใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น วิธีทางเขตกรรม เช่น การใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ต่อไร่ที่เหมาะสม ข้าวไม่แน่นมากเกินไป การวางแผนปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กันกับพื้นที่ใกล้เคียง การกำจัดวัชพืชเพื่อทำลายแหล่งอาศัยของโรค แมลง หรือวิธีอื่น ๆ เช่น ใช้แสงไฟล่อแมลงและทำลาย นอกจากนี้ส่งเสริมให้อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน เป็นต้น สำหรับการใช้สารเคมีเป็นทางเลือกสุดท้ายในการพิจารณาควบคุมปริมาณศัตรูข้าว
2. การป้องกันกำจัดศัตรูฝ้าย
ฝ้ายเป็นพืชสำคัญต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตฝ้ายในอดีตมีอุปสรรคมาก เนื่องจากปัญหาศัตรูฝ้ายทั้งโรคและแมลงซึ่งตรวจพบว่ามีมากกว่า 20 ชนิด ที่จัดเป็นศัตรูสำคัญมีประมาณ 10 ชนิด เกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันกำจัดศัตรูฝ้ายประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนการปลูกฝ้าย ปัญหาที่ตามมาจากการใช้สารฆ่าแมลงคือแมลงดื้อยา ทำให้การใช้สารฆ่าแมลงในอัตราที่แนะนำไม่ได้ผล และเกิดปัญหาพิษตกค้าง การส่งเสริมการปลูกฝ้ายจึงไม่บรรลุเป้าหมาย
ในปี พ.ศ.2525-2538 กรมวิชาการเกษตรได้นำเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ที่ผ่านการทดสอบมาผสมผสานใช้ในโครงการป้องกันกำจัดศัตรูฝ้ายโดยวิธีผสมผสาน ที่อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ใช้ฝ้ายพันธุ์แนะนำได้แก่ พันธุ์ศรีสำโรง 60 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ปลูกได้ดีทั่วไป เป็นโรคใบหงิกน้อย ผลผลิตสูง กำหนดระยะเวลาปลูก ระยะปลูก ถอนแยกให้เหลือ 2 ต้นต่อหลุม ใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม
การกำจัดวัชพืชโดยใช้แรงงานสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ ลากจูงไถชักร่องกำจัดวัชพืชในระหว่างแถวฝ้าย 2 ครั้ง ในฝ้ายเล็ก ช่วงฝนเข้าชักร่องไม่ได้ ใช้สารกำจัดวัชพืช (พาราควอท) หรือใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทเลือกทำลายวัชพืชใบแคบ ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ให้ใช้แรงงานคนถอนหรือดายด้วยจอบ
ในการป้องกันกำจัดโรคฝ้าย สภาพดินที่มีความชื้นและอุณหภูมิต่ำ แนะนำให้คลุกเมล็ดฝ้ายด้วยสารเคมีป้องกันโรคเน่าคอดินที่เกิดจากเชื้อรา ใช้สารเคมีแมลงกำจัดเพลี้ยอ่อนที่เป็นพาหะโรคหงิก ถอนต้นที่เป็นโรคทำลายทิ้ง และให้ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเท่าที่จำเป็น
ในการป้องกันกำจัดแมลง ให้เกษตรกรสำรวจแมลงศัตรูฝ้ายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และพ่นสารเคมีเมื่อพบจำนวนแมลงสูงเกินระดับความเสียหายทางเศรษฐกิจ มีการสลับเปลี่ยนชนิดของสารฆ่าแมลงเพื่อป้องกันแมลงสร้างความต้านทาน นอกจากนี้แนะนำให้เกษตรกรปลูกฝ้ายขวางทิศทางลมเพื่อความปลอดภัยในการพ่นสารเคมี
จากการประเมินพบว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกที่เข้าร่วมโครงการต่ำกว่าของเกษตรกรทั่วไป 20-88 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตฝ้ายสูงกว่าของเกษตรกรทั่วไป 13-40 เปอร์เซ็นต์ จำนวนครั้งการพ่นสารน้อยกว่าแปลงเกษตรกรทั่วไป 4-8 ครั้ง หรือ 42-67 เปอร์เซ็นต์ และมีรายได้สุทธิสูงกว่าถึง 1,174.77 บาท/ไร่
3. การป้องกันกำจัดศัตรูอ้อย
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำตาล ศัตรูพืชก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้ต้นทุนการผลิตอ้อยสูง ทั้งโรค แมลง และวัชพืช ตัวอย่าง เช่น ในปี พ.ศ.2505-2506 เกิดการระบาดของโรคใบขาวที่จังหวัดลำปาง ผลผลิตลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อ้อยขาดแคลนไม่มีอ้อยส่งโรงงาน
ในปี พ.ศ.2527-2528 กรมวิชาการเกษตรมีโครงการป้องกันกำจัดศัตรูอ้อยแบบผสมผสาน ดำเนินการในท้องที่ปลูกอ้อยจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม และชลบุรี ทำการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูอ้อยที่สำคัญ คือ หนอนกออ้อย ด้วงหนวดยาวและปลวก มีการสำรวจความเสียหายโดยตรวจนับแมลงเป็นระยะ เมื่อพบจำนวนแมลงถึงระดับเศรษฐกิจจึงให้พ่นสารฆ่าแมลงที่ถูกต้อง นอกจากนี้มีการดักจับตัวเต็มวัยของด้วงหนวดยาวโดยใช้ไฟนีออน เป็นต้น สำหรับโรคที่สำคัญได้แก่ โรคใบขาวและโรคแส้ดำ แนะนำให้เกษตรกรไถคราดตอซังเก่าก่อนปลูกใหม่ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยด้วยท่อนพันธุ์ปลอดโรค เลือกท่อนพันธุ์ที่สมบูรณ์โดยแช่ในน้ำร้อน 50 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง เพื่อกำจัดโรคใบขาว หรือแช่ท่อนพันธุ์ในสารป้องกันกำจัดโรคพืช
แม้ราคาอ้อยจะตกต่ำในช่วงที่จัดทำแปลงสาธิตในโครงการดังกล่าว แต่เกษตรกรร่วมโครงการ ฯ ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐมซึ่งเป็นเขตชลประทาน ยังคงมีกำไร จากการประเมินผล พบว่าแปลงในโครงการจังหวัดสุพรรณบุรี มีรายได้เพิ่ม 143.5 บาท/ไร่ แต่เกษตรกรร่วมโครงการในเขตจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นเขตที่ต้องอาศัยน้ำฝนจะขาดทุน แต่ขาดทุนน้อยกว่าเกษตรกรทั่วไป ทั้งนี้เพราะการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานลงทุนสูงในระยะแรก เนื่องจากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีราคาแพง รวมทั้งวิธีการเตรียมท่อนพันธุ์ปลอดโรคโดยแช่ท่อนพันธุ์ในน้ำร้อนและสารเคมีทำให้ต้นทุนสูง อย่างไรก็ตาม อ้อยในแปลงทดสอบที่มีการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดทั้งด้านโรค แมลง และวัชพืช อ้อยจะสมบูรณ์มาก มีศัตรูพืชน้อยกว่า ทำให้เกษตรกรนอกโครงการ ฯ ต้องการซื้อท่อนพันธุ์ซึ่งราคาท่อนพันธุ์อ้อยสูงถึง 4,000 บาท/ต้น ซึ่งสูงกว่าราคาอ้อยที่ตัดส่งโรงงานมาก
4. การป้องกันกำจัดศัตรูพืชผัก
พืชผักเป็นอาหารประจำวันที่มีความสำคัญ ประเทศไทยมีพืชผักหลายชนิดปลูกกันแพร่หลาย ทั้งเพื่อใช้ในการบริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออก พืชผักที่สำคัญในทางเศรษฐกิจ ได้แก่ คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี ผักกาดเขียวกวางตุ้ง ผักกาดหัว หอมใหญ่ หอมแดง กระเจี๊ยบเขียว และหน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ เป็นต้น ปัญหาศัตรูพืช มีทั้งโรคและแมลงมากมายหลายชนิด เกษตรกรใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูผักค่อนข้างสูง
กรมวิชาการเกษตรได้นำการป้องกันกำจัดศัตรูผักแบบผสมผสานมาใช้ในการกำจัดศัตรูหอมในปี พ.ศ.2527-2528 โดยดำเนินการในแปลงเกษตรกร อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี แมลงที่สำคัญได้แก่ หนอนกระทู้หอม ปัญหาโรคที่สำคัญได้แก่ โรคหอมเลื้อย และโรคใบแห้ง สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย และโรคใบจุดสีม่วง ซึ่งในปี พ.ศ.2527 ท้องที่ดังกล่าว เกิดสภาวะฝนแล้ง ปัญหาโรคและแมลงมีมากกว่าปกติ ทำให้เกษตรกรใช้สารเคมีค่อนข้างสูง คิดเป็นค่าสารเคมี 2,255 บาท/ไร่ ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรโดยเฉลี่ย 11,313.9 บาท/ไร่ จากการนำโครงการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน เช่น ใช้เชื้อไวรัส ใช้สารเคมีให้เหมาะสม ใช้แสงไฟล่อแมลงทำลาย ใช้สารฟีโรโมน ทำให้เกษตรกรในโครงการได้กำไรสุทธิมากกว่าเกษตรกรนอกโครงการ 805.3 บาทต่อไร่ เพราะเกษตรกรนอกโครงการพ่นสารเคมีเฉลี่ยถึง 33.5 ครั้ง ขณะที่เกษตรกรในโครงการพ่นสารเพียง 26.7 ครั้ง
5. การป้องกันกำจัดศัตรูไม้ผล
ประเทศไทยมีสภาพอากาศและภูมิประเทศที่เหมาะสมต่อการปลูกไม้ผลหลายชนิด ไม้ผลที่สำคัญ เช่น ทุเรียน ส้ม มะม่วง กล้วยหอม ลำไย ฯลฯ ใช้บริโภคในประเทศและส่งออกเป็นสินค้าสำคัญ เนื่องจากผลไม้ส่วนใหญ่เป็นพืชที่มีอายุหลายปี จึงเป็นแหล่งอาศัยของโรค และแมลงหลายชนิด ต้นทุนการผลิตของชาวสวนค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่เป็นค่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและค่าแรงในการฉีดพ่น ซึ่งมีการพ่นสารประมาณ 20-40 ครั้งต่อปี ขึ้นกับชนิดของไม้ผล สารเคมีที่ใช้นอกจากทำให้ต้นทุนการผลิตสูงแล้ว ยังทำลายทั้งสุขภาพของผู้ใช้และสภาพแวดล้อมด้วย
ในปี พ.ศ.2535-2542 กรมวิชาการเกษตรร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำโครงการป้องกันกำจัดศัตรูไม้ผลโดยวิธีผสมผสาน โดยรัฐบาลสหพันธ์รัฐเยอรมันให้การสนับสนุนเงินงบประมาณการดำเนินงานในไม้ผล 4 ชนิด คือ มะม่วง ส้มเขียวหวาน ส้มโอ และทุเรียน ทำการรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน 1 ปี และนำวิธีการควบคุมศัตรูพืชต่าง ๆ ที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม เช่น วิธีทางเขตกรรม การติดตามสถานการณ์ศัตรูพืช ส่งเสริมการใช้ต้นตอส้มที่ต้านทานโรคและผลิตขยายต้นส้มปลอดโรคภายใต้แผนการรับรองพันธุ์ปลดโรค ปรับปรุงเทคนิคการใช้สารเคมีและแนะนำเครื่องมือชนิดใหม่แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งระบบการติดตามสถานการณ์ด้านนิเวศวิทยาในสวนผลไม้อย่างต่อเนื่อง พัฒนาระบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย นำระบบการบริหารแผนงานหลักมาใช้ โดยวิธีการวางแผนติดตาม และการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
แมลงศัตรูไม้ผลที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยไฟ โรคส้มโอและส้มเขียวหวานที่สำคัญ มีหลายชนิด คือ โรคทริสเตซ่า สาเหตุจากเชื้อไวรัส โรคแคงเกอร์ โรครากเน่าและโคนเน่า เกิดจากเชื้อราไฟทอบเทอร่า และโรคกรีนนิ่ง สำหรับโครงการการป้องกันกำจัดโรคส้มโดยวิธีผสมผสาน จัดอบรมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโดยนำเอาเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์เข้าไปจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกษตรกรปฏิบัติได้เอง ตลอดจนให้นักส่งเสริมสามารถนำไปถ่ายทอดโดยทำการสำรวจโรคที่เป็นปัญหาในแปลงปลูก เมื่อพบโรคให้ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคนำไปเผาทำลาย เพื่อลดการแพร่ระบาด แนะนำให้เกษตรกรใช้สารเคมีในกรณีที่จำเป็นในอัตราและจำนวนครั้งที่เหมาะสม โดยกำหนดจากระดับความเสียหายทางเศรษฐกิจ เช่น เมื่อสำรวจพบโรครากเน่าและโคนเน่าในสวนเพียง 1 ต้น ต้องป้องกันกำจัดทันที นอกจากนี้การแก้ปัญหาโรครากเน่าและโคนเน่านั้นได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ส้มที่ต้านทานโรคมาเป็นต้นตอ แต่ปัญหาราคาค่อนข้างสูง สำหรับโรคทริสเตซ่า และโรคกรีนนิ่ง รักษาได้โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้แก่ การใช้ความร้อนร่วมกับวิธีการติดยอดต้นอ่อน นอกจากนี้แนะนำให้มีการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องเหมาะสม
การป้องกันกำจัดศัตรูทุเรียนโดยวิธีผสมผสาน แมลงที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยไก่แจ้ หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ไรแดง เพลี้ยแป้ง และหนอนเจาะผลไม้ ใช้กับดักแสงไฟ อนุรักษ์และเพิ่มขยายตัวห้ำกำจัดไรแดง โรคทุเรียนที่สำคัญได้แก่ โรครากเน่าและโคนเน่า โรคใบไหม้สาเหตุจากเชื้อรา โรคผลเน่า และโรคที่เกิดจากสาหร่าย มีการติดตามตรวจสอบโรคอย่างใกล้ชิด ทำการควบคุมโรคพืชโดยชีววิธี เช่น ใช้เชื้อราไตรโครเดอมาควบคุมโรคที่ติดเชื้อทางดิน เช่น โรครากเน่าและโคนเน่า และโรคใบไหม้ ตัดแต่งกิ่งและเก็บรวบรวมส่วนของของพืชที่ติดโรคนำไปเผาทำลาย นอกจากนี้ให้ใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การป้องกันกำจัดโรคมะม่วงโดยวิธีผสมผสาน มีการทดสอบเทคโนโลยีเพื่อที่จะนำมาปรับใช้ในการป้องกันกำจัดโรคมะม่วงโดยวิธีผสมผสานในหลายพื้นที่ โรคที่เป็นปัญหาสำคัญ เช่น โรคแอนแทรคโนส โรคราแป้ง และโรคราดำ โดยแนะนำให้เกษตรกรหมั่นตรวจแปลงปลูกตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มให้มีขนาดเหมาะสมเก็บทำลายส่วนที่เป็นโรคนำไปเผาทำลาย กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้น และใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและจำเป็นเท่านั้น
จากการประเมินผลปรากฎว่าเกษตรกรยอมรับเทคโนโลยีที่นักวิชาการนำไปอบรมถ่ายทอด และสามารถลดปริมาณการใช้สารกำจัดศัตรูพืช
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานเท่าที่ผ่านมา พบว่ายังมีปัญหาและอุปสรรค กล่าวคือ
เกษตรกรไม่แน่ใจว่าการป้องกันกำจัดแบบผสมผสานจะประสบความสำเร็จและคิดว่าเป็นการลงทุนสูง ต้องใช้หลายวิธีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช จึงจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจและเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกร ว่าวิธีการดังกล่าวแม้จะสิ้นเปลืองในระยะแรก แต่จะมีผลดีในระยะยาว การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธีจะทำให้ศัตรูพืชไม่ดื้อยา
1. สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีราคาแพง ดังนั้น การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแต่ละฤดูปลูก ควรกำหนดไว้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ
2. พืชบางชนิด เช่น อ้อย ต้นทุนการผลิตสูง แต่อ้อยมีราคาต่ำ ควรพิจารณาวิธีการที่จะนำมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างรอบคอบ โดยเลือกเฉพาะวิธีที่เห็นผลชัดเจนในการป้องกันศัตรูพืชที่สำคัญของพื้นที่นั้น ๆ
>> การจัดการศัตรูพืชในปัจจุบัน
ในสภาพการณ์ปัจจุบัน หลายประเทศมีการใช้มาตรการและกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านสุขอนามัย และสุขอนามัยพืชมาใช้กับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเข้มงวดเรื่องสารเจือปนและสารพิษตกค้างในผลผลิตการเกษตร ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทย กรมวิชาการเกษตรได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ ในปี พ.ศ.2542 กรมวิชาการเกษตรได้กำหนดให้เป็นปีแห่งการรณรงค์ "การผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม" หรือ "1999, The year of Good Agricultural Practice (GAP)" โดยขบวนการผลิตทางการเกษตรทุกขั้นตอนจะต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักทางวิชาการ
ในด้านการอารักขาพืชหรือการป้องกันกำจัดศัตรูพืช การจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน (IPM) นับว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในการผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพราะ IPM สามารถลดปัญหาการใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็น ซึ่งก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในผลผลิตเกษตร
พืชที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดให้เป็น "product champion" คือ ทุเรียน ลำไย กล้วยไม้ โดยกรมวิชาการเกษตรได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตร ฯ ให้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบพืชดังกล่าว กรมวิชาการเกษตรโดยกองกีฏและสัตววิทยา กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กองพฤกษศาสตร์และวัชพืช และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านอารักขาพืช ได้นำผลการค้นคว้าทดลองต้น ๆ มากำหนดเป็นเทคโนโลยีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทั้งในด้านแมลง โรค และวัชพืช โดยยึดหลักการของ IPM เป็นแนวทางในการจัดการปัญหาศัตรูพืชเหล่านั้น ทั้งนี้โดยวัตถุประสงค์หลักคือ ลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้ผลผลิตของพืชดังกล่าวปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรยังมีโครงการวิจัยลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร ในการผลิตพืชต่าง ๆ คือ ข้าว พืชตระกูลกะหล่ำ คะน้า พริก หน่อไม้ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน ทุเรียน ข้าวโพดหวาน อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา เป็นต้น โดยมอบหมายให้กองวิจัยด้านอารักขาพืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับในโครงการดังกล่าว เน้นเรื่องการจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานเป็นสำคัญ โดยนำเอาผลงานวิจัยด้านต่าง ๆ ที่ได้ผลดีมาปรับใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งโครงการนี้กำลังดำเนินการอยู่
อนึ่ง ในพืชอื่น ๆ เช่น ฝ้าย มะเขือเทศ ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง กล้วยไม้ มะลิ องุ่น หอมหัวใหญ่ สตรอเบอรี่ กระเจี๊ยบเขียว ถั่วเหลือง ผักสด สับปะรด ฯลฯ พืชเหล่านี้ก็ยังมีงานวิจัยการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสารด้วยเช่นกัน โดยมีเป้าหมายลดการใช้สารเคมีในการปราบศัตรูพืช
กล่าวได้ว่า การจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานมีความสำคัญยิ่งในปัจจุบัน งานวิจัยหรือโครงการใด ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรหรือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะต้องเน้นเรื่องการจัดการศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสานเป็นประการสำคัญ
>> การจัดการศัตรูพืชในอนาคต
จากปัญหามลพิษในสภาพแวดล้อม ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนเป็นที่วิตกกันทั่วไป ทั่วโลกต่างตระหนักถึงปัญหานี้และมีการรณรงค์ให้ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมให้ปราศจากมลพิษ ในด้านการเกษตรโดยเฉพาะการอารักขาพืชซึ่งมีการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชกันอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดอันตรายและความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540-2544) ได้เน้นเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งในกรอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของกรมวิชาการเกษตรในแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 8 เน้นเรื่องการลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร การวิจัยการใช้เชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ ไส้เดือนฝอย แมลงศัตรูธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชมาทดแทนการใช้สารเคมี และนำไปสู่การป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ร่วมกับการป้องกันกำจัดศัตรูพืชวิธีอื่น ๆ เพื่อลดการใช้สารเคมีลดมลภาวะในสภาพแวดล้อม และเพิ่มความปลอดภัยจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตรได้กำหนดมาตรการในการวิจัยและพัฒนาการลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร เพื่อลดมลภาวะในธรรมชาติทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และเกิดความยั่งยืนในสภาพแวดล้อม กลยุทธในการดำเนินงานคือ วิจัยและพัฒนาการนำวิธีทางชีวภาพมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทำให้เกิดความยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางการเกษตร วิจัยและพัฒนาการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน เพื่อลดการใช้สารเคมี ลดมลภาวะในสภาพแวดล้อม วิจัยและพัฒนา พืช วัชพืช โรค แมลง สัตว์ รวมทั้งชีวินทรีย์ ที่เป็นประโยชน์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช สารชีวินทรีย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อโปรโตซัว และไส้เดือนฝอย จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่จะนำใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทดแทนสารเคมีที่ยังใช้กันมากในปัจจุบัน โดยนำมาใช้ร่วมกับวิธีการอื่น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ในอนาคตเชื่อแน่ว่าสารชีวินทรีย์เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชมากยิ่งขึ้นไป
อนึ่ง เชื้อแบคทีเรีย หรือ บีที นับว่าเป็นสารชีวินทรีย์ทีได้รับความสนใจกันมาก และมีการใช้กันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการพัฒนาใช้เชื้อ บีที ในการสร้างพืชจำลองพันธุ์ต้านทานแมลง กล่าวคือ มีการสร้างพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติต้านทานแมลงบางชนิด โดยการเสริมแต่ง บีที ยีน แทรกเข้าไปในโครโมโซมของพืช ทำให้พืชสามารถสร้างโปรตีนสารพิษที่เป็นอันตรายต่อแมลงศัตรู ยีนนี้ยังสามารถถ่ายทอดไปยังพืชรุ่นต่อไปได้ ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีผสมพันธุ์พืชแบบปกติ ที่กำลังกล่าวขวัญกันมากปัจจุบันคือ ฝ้ายบีที อย่างไรก็ตาม การพัฒนาใช้พืชจำลองพันธุ์ที่มี บีทียีน ก็มีข้อควรคำนึงถึงหรือพึงระมัดระวังอยู่ 2 ประการ คือ การสร้างความต้านทานในแมลงต่อพืชจำลองพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นไปได้ และความปลอดภัยทางชีวภาพ เช่น อาจทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ที่ได้รับโปรตีนสารพิษ เป็นต้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ และทำการศึกษาให้ทราบถึงผลเสียเหล่านี้ และทำการศึกษาให้ทราบถึงผลเสียเหล่านี้ให้ชัดเจน ก่อนที่จะส่งเสริมและเผยแพร่สู่เกษตร
>> บทสรุป
การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน (IPM) ในประเทศไทย เริ่มต้นในปี พ.ศ.2519 ในพืชข้าว และได้มีการวิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในพืชอื่น เช่น ฝ้าย อ้อย พืชผัก ไม้ผลต่าง ๆ พืชตระกูลถั่ว ฯลฯ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 25 พืช ก็ได้มีการค้นคว้าวิจัยด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ IPM ผลการดำเนินการที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังขาดข้อมูลทางวิชาการที่สำคัญ เช่น ข้อมูลทางนิเวศวิทยาของศัตรูพืช ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่เดิมงานวิจัยส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นในด้านการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยใช้สารเคมี เป็นที่น่ายินดีว่าในปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย หันมาทำงานวิจัยด้านสารชีวินทรีย์และสารสกัดจากพืช เพื่อใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชกันมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของ IPM ในอนาคต สารชีวินทรีย์ สารสกัดจากพืช รวมทั้งพืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) คงจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับ IPM มากขึ้น โดยเป็นทางเลือกทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ความสำเร็จของ IPM ก็คือ เกษตรกรจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจและปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ซึ่งจำเป็นต้องให้ความรู้และทำความเข้าใจกับเกษตรให้เห็นความสำคัญและประโยชน์ของ IPM เมื่อเกษตรกรมีความมั่นใจก็จะเปลี่ยนทัศนคติเดิมที่นิยมใช้สารเคมี หันมาใช้แนวทางของ IPM มากขึ้น ทว่ามิใช่เรื่องง่าย
ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย นักส่งเสริม และตัวเกษตรกรเอง จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ และจริงจัง ผลักดันให้ IPM เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาการเกษตรไทยให้ก้าวไกลด้วย IPM ในอนาคต
จาก : ขนำเกษตรฅนไทย
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.