"เอเลี่ยน" อาจยังไม่บุกโลกและยังเป็นเรื่องไกลตัวมนุษย์ในตอนนี้ แต่ "เอเลียนสปีชีส์" ได้บุกยึดพื้นที่ ทำลายพืช สัตว์ และระบบนิเวศในท้องถิ่นไปแล้วหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
การรุกรานของ "เอเลี่ยนสปีชีส์" (Alien Species) ถือเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หากไม่นับการบุกรุกพื้นที่ธรรมชาติโดยมนุษย์ แต่หลายคนอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าเอเลี่ยนสปีชีส์คืออะไร เข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร และเป็นภัยคุกคามจริงหรือ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. จึงร่วมกับโครงการบีอาร์ที (BRT) จัดเวทีเสวนาตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับ "เอเลี่ยนสปีชีส์...ภัยร้ายความหลากหลายทางชีวภาพ" เมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
**ทำความรู้จัก "เอเลี่ยนสปีชีส์"
ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Introduced species or Exotic Species) คือ ชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยปรากฏในเขตชีวภูมิศาสตร์หนึ่งมาก่อน แต่ถูกนำมาหรือแพร่กระจายมาจากที่อื่นด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง และสามารถดำรงชีวิต สืบพันธุ์ได้ในพื้นที่นั้น
ส่วน "เอเลี่ยนสปีชีส์" หรือ "ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน" ( Invasive Species or Alien species) คือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่สามารถตั้งถิ่นฐานและยึดครองจนเป็นชนิดพันธุ์เด่นในพื้นที่ และส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ท้องถิ่นเดิมจนอาจทำให้สูญพันธุ์ไป ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขอนามัยของประชาชนด้วยหากไม่มีการควบคุมและจัดการที่เหมาะสม
"ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสามารถเข้าไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ได้ 3 ทางหลัก ได้แก่ การแพร่กระจายเข้าไปโดยความสามารถของชนิดพันธุ์เองเมื่อมีโอกาส, การชักนำเข้าไปโดยบังเอิญจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการนำพาโดยผู้คน ทั้งที่จงใจและมิได้จงใจ เช่น เพื่อการใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร ศึกษาวิจัย นำมาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อความสวยงาม หรือติดมากับยานพาหนะ การขนขนส่งสินค้า และน้ำอับเฉาของเรือ เป็นต้น" ศ.ดร.สมศักดิ์ ให้ข้อมูล
**"ปลาเทศบาล" วายร้ายทำลายปลาพื้นเมืองไทย
ปลาเทศบาล, ปลาซัคเกอร์ หรือปลากดเกราะ คือปลาชนิดเดียวกันกับที่เคยเป็นข่าวดังบนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน เมื่อชาวบ้านหนองใหญ่ใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบฝูงปลาชนิดนี้ในลำคลองนับหมื่นตัว ขณะที่พันธุ์ปลาอื่นๆ ที่เคยมีอยู่กลับลดจำนวนลงและสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ
"ปลากดเกราะเป็นปลาที่มีการนำเข้ามาจากทวีปอเมริกาใต้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 เพื่อใช้กำจัดสาหร่ายและของเสียที่ตกค้างในตู้ปลา แต่เมื่อปลาเทศบาลเจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่เกินไป ผู้เลี้ยงก็นำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ และปลาก็สามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้ดี จนปัจจุบันกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว เพราะไปมีผลคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา ศรีลังกา และไต้หวัน รวมทั้งในแม่น้ำโขงด้วย" ดร.รัฐชา ชัยชนะ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูล
ดร.รัฐชา ได้ศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของปลากดเกราะต่อความหลากหลายของปลาพื้นเมืองในคลองหนองใหญ่ พบว่ามีปลากดเกราะเพียงสปีชีส์เดียว (Pterygoplichthys pardalis) ที่สามารถอยู่อาศัยได้ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพเสื่อมโทรมและมีออกซิเจนละลายน้ำต่ำ เพราะสามารถขึ้นมารับออกซิเจนจากอากาศได้โดยตรง โดยพบปริมาณมากบริเวณแหล่งน้ำที่ไหลผ่านชุมชนช่วงปลายน้ำ ซึ่งได้รับน้ำเสียจากครัวเรือนเป็นส่วนมาก และบางบริเวณมีสัดส่วนของปลาชนิดนี้มากถึง 70-100% เมื่อเทียบกับปลาชนิดอื่น
นอกจากนั้น ปลากดเกราะยังเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่สุดที่พบในคลองหนองใหญ่ จึงอาจมีความสามารถในการแก่งแย่งอาหารและที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะกับปลาที่มีขนาดเล็กกว่า จนมีผลทำให้ประชากรปลาชนิดอื่นลดจำนวนลงและสูญหายไปในที่สุด อีกทั้งพฤติกรรมการกินของปลากดเกราะที่ดูดกินอาหารจากพื้นใต้น้ำ รวมทั้งไข่ปลาและลูกปลาชนิดอื่น ขณะที่ตัวมันเองมีเกล็ดแข็ง ครีบด้านข้างตัวและครีบหลังเป็นเงี่ยงแข็งหนา จึงทำให้มีศัตรูธรรมชาติค่อนข้างน้อย ซึ่งหากปลากดเกราะยังเพิ่มจำนวนต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อปลาพื้นเมืองในบริเวณนั้น โดยเฉพาะปลาดุกอุยและปลาดุกด้านที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์
**"จอกหูหนูยักษ์" เอเลี่ยนสปีชีส์ที่ผักตบชวายังพ่าย
ผักตบชวาจัดเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ระดับตำนานของประเทศไทย เพราะมีปัญหารุกรานในธรรมชาติมานานร่วมร้อยปี แต่ปัจจุบันนี้มีพืชต่างถิ่นอีกนับไม่ถ้วนที่กำลังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพในไทย และบางชนิดยังทำให้ผักตบชวาที่เคยยึดครองผืนน้ำต้องหลีกทางให้ พืชที่ว่านี้คือ "จอกหูหนูยักษ์"
ดร.ศิริพร ซึงสนธิพร นักวิชาการเกษตรชำนาญการ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยข้อมูลว่า จอกหูหนูยักษ์เป็นเฟิร์นลอยน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ แต่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยหลายปีแล้ว บางพื้นที่พบลอยน้ำปะปนอยู่กับผักตบชวากีดขวางทางไหลของน้ำ เช่น ในแม่น้ำแม่กลอง เมื่อพืชเหล่านี้ตายลงก็จะทับถมลงแหล่งน้ำ ส่งผลให้แหล่งน้ำตื้นเขินได้ ขณะที่ผักตบชวาที่ถูกล้อมรอบด้วยจอกหูหนูยักษ์มักมีอาการใบห่อ ซีดเหลือง เป็นสีน้ำตาล และตายในที่สุด
จอกหูหนูยักษ์เมื่อโตเต็มที่จะเบียดเสียดกันมากและซ้อนทับกันเป็นชั้นหนา 30-40 เซนติเมตร โดยบริเวณที่มีจอกหูหนูยักษ์ขึ้นปกคลุมผิวน้ำอย่างหนาแน่นเป็นพื้นที่กว้าง จะไปแย่งพื้นที่พรรณพืชน้ำอื่นๆ ในท้องถิ่น ทั้งยังบดบังไม่ให้แสงแดดและออกซิเจนผ่านลงไปใต้ผิวน้ำได้ ทำให้พืชใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้และตายลง ยิ่งทำให้บริเวณนั้นขาดออกซิเจนที่ต้องใช้ไปกับการย่อยสลายซากพืช และทำให้สัตว์น้ำอยู่อาศัยต่อไปไม่ได้ ซึ่งความน่ากลัวของจอกหูหนูยักษ์คือกำจัดยากยิ่งกว่าผักตบชวา เพราะมีลำต้นเปราะบาง หักง่าย เวลาตักหรือช้อนขึ้นมามักหักเป็นท่อนๆ ที่มีใบติดอยู่ด้วย ซึ่งแม้เพียง 1-2 เซนติเมตร ก็สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้จากตาตรงซอกใบ เรียกได้ว่า ยิ่งแตกก็ยิ่งโต
"ขณะนี้มีรายงานการระบาดของจอกหูหนูยักษ์ในแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรีเรื่อยลงมาถึงสมุทรสงคราม รวมถึงหลายอำเภอในจังหวัดสงขลา และมีแนวโน้มจะระบาดไปสู่อีกหลายจังหวัด จากการสำรวจล่าสุดพบว่าการระบาดของจอกหูหนูยักษ์เริ่มส่งผลกระทบต่อพันธุ์พืชน้ำท้องถิ่นแล้ว เช่น ผักตับเต่า ต้อยติ่งสาย และยังกระทบต่อการท่องเที่ยวด้วย" ดร.ศิริพร เผยถึงปัญหา
เอเลี่ยนสปีชีส์เพียงไม่กี่ชนิดยังก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบมากมาย แต่ในสถานการณ์จริงตอนนี้มีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในเมืองไทยแล้วหลายสิบชนิด "เรา" พร้อมหรือยังที่จะปกป้องชนิดพันธุ์ในท้องถิ่นที่มีคุณค่าให้รอดพ้นจากการถูกคุกคามจากเอเลี่ยนสปีชีส์
อ่านเพิ่มเติม
- ไม่ปล่อย-ไม่นำเข้า ไม่ก่อปัญหา "ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น" รุกรานไทย
- หอยเชอรี่" เตรียมขึ้นแท่นท็อป 10 เอเลี่ยนสปีชีส์
ที่มา : ผู้จัดการรออนไลน์
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.