การทำนาด้วยวิธีการโยนกล้า (PARACHUTE)เกิดขึ้นจากการศึกษาทดลองการปลูกข้าวปลอดสารของศูนย์บริการวิชาการ อันเนื่องมาจากแนวคิดริเริ่มของมูลนิธิชัยพัฒนาซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยได้เผยแพร่ยังไม่มากนัก เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคย หรือรู้ข้อดีของการนาโยนต้นกล้า อันแตกต่างจากการทำนาดำ หรือนาหว่านน้ำตมที่นิยมกันแพร่หลาย
ทั้งที่การทำนาด้วยวิธีนี้เป็นนวัตกรรมการทำนาแบบเกษตรปราณีต จะควบคุมข้าววัชพืช(ข้าวดีด) และวัชพืชทั่วไป ที่ขึ้นในแปลงนาข้าว ซึ่งถือเป็นการทำเกษตรกรรมแบบปราณีต คือ การเตรียมดินของเกษตรกรจะต้องเอาใจใส่แปลงนา กำจัดวัชพืช ตอซังข้าวให้หมด รวมทั้งไม่เผาตอซังข้าว และพบว่า ต้นทุนการทำนาแบบนาโยนกล้ายังต่ำกว่าการทำนาแบบปักดำ และนาหว่านน้ำตม
อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบกว่าการปักดำและหว่านน้ำตม คือ
1.แปลงที่มีลักษณะหล่มก็สามารถเตรียมแปลงเพื่อการหว่านต้นกล้าได้ แต่ไม่สามารถปลูกโดยวิธีการปักดำด้วยเครื่องปักดำได้ เนื่องจากเครื่องจะติดหล่ม 2.ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์น้อยกว่าการหว่านน้ำตมและการปักดำ 3.สามารถควบคุมและลดปริมาณวัชพืชและข้าววัชพืชได้ดีกว่าการทำนาหว่านน้ำตม และ4.ลดสารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวเมื่อเทียบกับการหว่านน้ำตม
ทั้งนี้เกษตรกรที่มีพื้นที่ที่มีปัญหาข้าวดีด (ข้าววัชพืช)มาก ,เกษตรกรที่ต้องการผลิตข้าวพันธุ์ข้าวปลูกไว้สำหรับใช้เอง ,การทำนาแบบอินทรีย์ เพื่อควบคุมข้าวดีด(ข้าววัชพืช) และไม่ต้องการใช้สารเคมี และต้องการประหยัดเมล็ดพันธุ์นั้นน่าจะใช้วิธีการปลูกด้วยวิธีการโยนกล้าเป็นทางเลือกในพื้นที่เพาะปลูกได้เป็นอย่างดี
พื้นที่เขตตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอินนับเป็นพื้นที่หนึ่งที่เพิ่งได้นำการปลูกข้าวด้วยวิธีการโยนกล้ามาเพาะปลูกข้าว โดยล่าสุดได้รับเกียรติจากนายชัชวาลย์ คงอุดม อดีต ส.ว.กทม.เป็นประธานเปิดโครงการ พร้อมกับสาธิตถึงวิธีการโยนกล้าด้วยตนเองร่วมกับชาวบ้าน
นายชัชวาลย์ คงอุดม อดีต ส.ว.กทม.กล่าวภายหลังการเปิดโครงการสาธิตการปลูกข้าวด้วยวิธีการโยนกล้าในพื้นที่เขตตำบลบางกระสั้นว่า ตนเองได้ให้ความสนใจกับปัญหาของเกษตรกรอย่างมาก โดยได้สนใจถึงวิธีการปลูกที่สามารถลดต้นทุนการผลิต รวมถึงสนใจในเรื่องการขายข้าวเปลือกของเกษตรกร ถึงราคาขายข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายว่า ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ จึงได้สนใจที่จะทดลองทำนาโยนกล้าด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการศึกษาถึงการลดต้นทุนในการปลูกข้าว
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า การปลูกข้าวแบบโยนกล้านี้ เป็นรูปแบบใหม่ของการทำนาปรัง ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อเกษตรกรผู้ทำนาหลายประการอาทิเช่น การช่วยลดต้นทุนในการปลูกข้าวลงได้อย่างมาก โดยต้นทุนเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์จาก 30 กก./ไร่ จะลดลงเหลือเพียง 5 กก./ไร่ อีกทั้งยังช่วยกำจัดข้าวดีดข้าวเด้ง ข้าวปลอมปนด้วย อีกทั้งข้าวที่เพาะปลูกยังโตเร็วและสามารถแตกกอขยายต้นในอัตราขยายได้ถึง 1 ต่อ 10 ต้น
สอดรับกับอบต.ทับน้ำ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา อีกพื้นที่หนึ่งที่มีการปลูกข้าวด้วยวิธีการโยนกล้าเช่นกัน ซึ่งนายกฤตภพ เฉื่อยฉ่ำ นายก อบต.ทับน้ำ บอกว่า วิธีการทำการปลูกข้าวแบบโยนกล้าทำไม่ยาก นำเมล็ดพันธุ์ข้าวชั้นดีมาเพาะปลูกในถาดเพาะ โดย 1 หลุมขนาดเล็กเท่าเหรียญ 1 บาท จะหยอดพันธุ์ข้าวลงไปในหลุมที่มีดินอยู่จำนวน 3 เมล็ด เมื่อต้นข้าวงอกและโตได้ประมาณ 1 ต้น ก็จะพบว่า ต้นข้าวมีความแข็งแรงมาก และหากมีข้าวอื่นปลอมปน ก็จะสามารถแยกออกไปได้ เพราะการเจริญเติบโตจะไม่เท่ากัน
หลังจากนั้นเมื่อได้ต้นข้าวที่งอกในดินเป็นก้อนกระสุนขนาดเท่าเหรียญบาทแล้ว ก็จะนำมาโยนลงแปลงนาข้าวที่ทำถมดินไว้สำหรับการปลูกข้าว โดยการโยนต้นกล้าลงดิน โยนอย่างไรก็ได้ เพราะโคนต้นกล้าจะลงดินแน่นอน ที่สำคัญจะใช้เวลาเร็วมากในการโยนพันธุ์ต้นข้าวมากกว่า การหว่านข้าวแบบเดิมถึง 3 เท่าตัว โดยการทำนาด้วยวิธีการโยนกล้าสามารถควบคุม และป้องกันข้าววัชพืชได้ผลดี รวมทั้งต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวแบบต่างๆ จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรชาวไทย
อนึ่ง ขั้นตอนการทำนาด้วยวิธีการโยนกล้านั้นจะต้องมีกระบวนการดังนี้คือ 1.เตรียมดิน หลังเก็บเกี่ยวข้าว ให้พักแปลงนา ปล่อยแปลงให้แห้งประมาณ 30 วัน เพื่อตากดิน หลังจากนั้นปล่อยให้น้ำเข้า พอให้ดินชุ่มประมาณ 10 วัน เพื่อล่อให้วัชพืชที่ลงในดินงอกขึ้นมาให้เต็มที่ จึงไถแปลงนา หลังจากไถลงครั้งที่ 1 ปล่อยทิ้งแปลงนาอีก 10-15 วัน โดยให้มีน้ำชุ่มพอ เพื่อให้เมล็ดพืชที่เป็นวัชพืชขึ้นมาใหม่อีก ถึงไถแปรอีกครั้ง
หลังจากนั้นเกษตรกรต้องคราดแปลงนา ปรับเทือกเหมือนนาหว่านน้ำตมทั่วไป ปรับเทือกให้สม่ำเสมอที่สุด กรณีเป็นดินเหนียว วันรุ่งขึ้นโยนต้นกล้าได้ ถ้าเป็นดินร่วนปนทราย หลังปรับเทือกให้โยนต้นกล้าทันที
2.ขั้นตอนการเตรียมเพาะกล้าพันธุ์ ซึ่งการเตรียมการเพาะกล้าเตรียมได้ 2 แบบคือ โดยวิธีเตรียมถาดเพาะกล้าแบบแห้งเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะสะดวกรวดเร็ว และง่ายกว่า ซึ่งได้คิดประยุกต์และพัฒนาขึ้นมา (แต่เดิมจีนเพาะแบบเปียก) โดยการเพาะด้วยมือ เตรียมย่อยดินแห้งให้ละเอียด เม็ดดินโตไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ดังนั้นต้องไม่มีเมล็ดข้าววัชพืช นำถาดพลาสติกมาวางกับพื้นที่เตรียมไว้ ส่วนพื้นที่ต้องเสมอกัน โดยวางเป็นแถวตอน 2-5 แผ่น (แล้วแต่ความสะดวกในการปฎิบัติงาน)หว่านดินไปก่อนประมาณ 50-70% จากนั้นหว่านเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ (แช่ 1 คืน หุ้ม 1 คืน หรือข้าวแห้ง) อัตราประมาณ 3-4 กิโลกรัม/50-60 ถาด (561 หลุม/ถาด) หรือ 70-80 ถาด(434 หลุม / ถาด)
แล้วโรยดินตามลงไปให้เต็มเสมอปากหลุมพอดี (อย่าให้ดินล้นปากหลุมเพาะ ซึ่งจะทำให้รากข้าวพันกัน เวลาโยนต้นกล้า จะไม่กระจายตัว) การใช้แรงงานย่อยดินแห้ง และเพาะข้าว 1คน/150-200ถาด/1วัน (โยนได้ 2-3 ไร่) การให้น้ำระยะแรกๆต้องให้เป็นฝอยละเอียด ระวังอย่าให้เมล็ดข้าวกระเด็นหรือให้น้ำแบบท่วมพื้นแปลงน้ำจะซึมเข้าก้นหลุมถาดเอง รักษาความชื้นจนกว่าข้าวงอก หากมีฝนตกให้หาวัสดุคลุม เช่น กระสอบป่านเก่า ชาแลนท์ ฟางข้าวมาคลุมจนกว่าข้าวจะงอก วิธีนี้สามารถเพาะเมล็ดในร่มและย้ายถาดไปที่ที่เตรียมไว้ (แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์ของดินเพาะ) ใช้พื้นที่เพาะกล้าประมาณ 15 และ 20 ตารางเมตร/50-60 ถาด และ70-80 ถาด โยนได้ 1 ไร่
3.ขั้นตอนการโยนต้นกล้าแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
แบบแห้งและแบบเปียก
โดยแบบแห้งขณะโยนต้นกล้าในแปลงควรมีน้ำขลุกขลิกเล็กน้อย ให้เดินถอยหลังโยน จับกล้าให้เต็มกำมือ โดยตวัดหงายมือโยนต้นข้าวขึ้นสูงกว่าระดับศีรษะ ต้นกล้าจะกระจายตัวพุ่งลงตั้งตรงหรือเอนเล็กน้อย ถาดเพาะให้วางบนท่อนแขนครั้งละหลายๆแผ่น แล้วแต่จะรับไหว หากเห็นว่าต้นข้าวห่างกันไปให้โยนเพิ่มเติมได้ วิธีโยนสามารถนำอุปกรณ์คล้ายเรือลงในแปลงนาได้ เพื่อให้ถาดกล้าครั้งละมากๆ และสะดวกในการโยน หรือถอนต้นกล้าใส่ภาชนะหรือถังหว่านปุ๋ยนำไปโยนในนา เกษตรกร 1 คน โยนต้นกล้าได้ 3-5 ไร่/วัน หลังหว่าน 1-2 วัน ให้เติมน้ำทันที และเพิ่มระดับน้ำขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 5-10 เซนติเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพควบคุมข้าววัชพืชและวัชพืชได้ดีมาก รักษาระดับน้ำจนถึงข้าวโตคลุมพื้นที่นาหรือจนถึงก่อนเก็บเกี่ยว 15-20 วัน
ส่วนแบบเปียก
ให้โยนทีละน้อย ไม่สะดวกและช้า เนื่องจากรากข้าวข้ามหลุมไปยังหลุมอื่น ทำให้รากพันกัน เวลาโรยทีละกำมือ ต้นกล้าจะติดกัน ต้องเสียเวลาแยกต้นกล้าก่อน การโยนแบบนี้ 1 คนจะโยนได้น้อยกว่าแบบแห้ง ถ้าโยนต้นกล้าลงไปน้อย นกจะมากินง่าย
สำหรับการเก็บเกี่ยวจะเก็บเกี่ยวข้าวที่ระยะที่เหมาะสม คือ หลังจากข้าวออกดอก(75% ) แล้ว 28-30วัน จะมีความชื้นประมาณ 22% กรณีไม่ถูกฝนช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งจะเกิดความสูญเสียทั้งด้านปริมาณและคุณภาพน้อยที่สุด จะทำให้ได้ข้าวที่มีน้ำหนักดีที่สุด มีการร่วงหล่นและสูญเสียขณะเก็บเกี่ยวน้อยที่สุด ผลผลิตมีคุณภาพดี ข้าวที่เก็บไว้สีเป็นข้าวมีคุณภาพการสีสูง ข้าวที่เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานอย่างน้อย 7-9 เดือน เสื่อมความงอกช้า
สรุปแล้วการปลูกข้าวแบบโยนกล้านับเป็นนวัตกรรมการทำนาแบบใหม่ที่น่าจะเป็นทางเลือกของคนเมืองกรุงเก่า สำหรับการปรับวิถีการทำนาในยุคที่เกษตรกรกำลังเผชิญปัญหามรสุมต่างๆรุมเร้าได้ดีทีเดียว