ผักกระเฉด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Neptunia oleracea Lour.
ชื่อสามัญ Water mimosa
ชื่ออื่น ๆ ผักรู้นอน,ผักหละหนอง,ผักฉีด,
ผักกระเฉด เป็นไม้ล้มลุก สามารถเจริญเติบโตได้ทั้งบนดินและในน้ำ มีอายุหลายฤดู มีลำต้นกลม ยาว อวบน้ำเลื้อยทอดไปบนผิวน้ำและบนดินที่แฉะ มีใบแตกจากลำต้นแบบสลับมีรากงอกตามข้อ มีเนื้อเยื่อที่เรียกว่า แอเรนไคม่า (aerenchyma)ซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำสีขาว หุ้มปล้องแต่ละปล้อง หรือเรียกว่า “ นม ” ช่วยให้เถาผักกระเฉดลอยน้ำได้ แต่ถ้าเลื่อยบนดินจะไม่มีนม ขยายพันธุ์โดยการปักดำเถา ส่วนที่ใช้รับประทานคือ ยอด ใบ และลำต้นอ่อน
การปลูก
ไถดิน คราดดิน ให้ละเอียดใส่น้ำเข้าแปลงทำเทือกให้ดี นำยอดผักกระเฉดมาทำเป็นจับ ๆ ละ 4–5 ยอด แล้วนำไปปักดำในแปลงแบบสลับฟันปลา ลึกลงในดิน 6–7 ซม. โดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 2 เมตร หรือปลูกเป็นแถวเป็นแนวระยะ 1x1.5 เมตร แล้วกดดินให้ส่วนโคนติดแน่นพอสมควรส่วนปลายยอดจะลอยให้ระบายน้ำเข้าและออกสัปดาห์ละ 1 ครั้งควบคุมระดับน้ำให้ลึก ประมาณ 30– 33 ซม. เขี่ยยอดของผักกระเฉดสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ยอดเกยกัน ใส่ปุ๋ยสูตร 16– 20–0 หรือ 18–12–6 อัตรา 10–15 กก./ไร่ สัปดาห์ละครั้ง และ ใส่ปุ๋ยยูเรียเพื่อเร่งยอดอัตรา 3–5 กก./ไร่ ทุกสัปดาห์ ถ้าไม่ใช้ปุ๋ยเคมี หลังจากปลูกไปได้ 2 สัปดาห์ จนผักกระเฉดลอยน้ำดีแล้ว ให้ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพผสมน้ำอัตรา 1 ต่อ 500–1,000 ส่วน ฉีดพ่นในแปลง ฉีดพ่นสม่ำเสมอ ทุก ๆ 7 วันเมื่อใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วผักกระเฉดจะยาวเร็ว มียอดสวย นมใหญ่ ขาวอวบ หวาน กรอบ เป็นที่ต้องการของตลาดมาก
การเก็บเกี่ยว
เมื่อปลูกไปได้ 20 วัน ก็สามารถเก็บขายได้เมื่อเก็บผลผลิตแล้วก็ให้ฉีดปุ๋ยน้ำชีวภาพได้เลย นับไปอีก 4 วันก็สามารถเก็บผักกระเฉดขายได้อีกเรื่อยๆซึ่งให้ผลผลิตดีมากและเร็วกว่าวิธีอื่น (ปกติเก็บเกี่ยวสัปดาห์ละครั้ง)เรื่อยๆซึ่งให้ผลผลิตดีมากและเร็วกว่าวิธีอื่น (ปกติเก็บเกี่ยวสัปดาห์ละครั้ง)
เมื่อเก็บแล้วจะล้างน้ำให้สะอาด สะบัดให้สะเด็ดน้ำ บรรจุใส่ถุงพลาสติกใส ถุงละ 10 กก.ราคาส่ง กิโลกรัมละ10–12 บาท เป็นรายได้ที่ดี และวิธีการนี้สามารถถ่ายทอดให้ผู้สนใจหรือเกษตรกรรายอื่น ๆ หรือเกษตรกรใกล้เคียงที่สนใจมาดูและสอบถามวิธีการเพื่อนำไปปฏิบัติตามได้
โรค–แมลง
ถ้าเห็นผักกระเฉดมีใบหงิกงอแสดงว่าโดนเพลี้ย หรือ หนอนลงทำลายป้องกันได้โดยใช้ “ น้ำหมักสมุนไพรขับไล่แมลง ” ทำได้ง่าย ๆ โดยใช้ใบสะเดา ตะไคร้หอม ขิงข่า พริกสด ยาฉุน โล่ติ๊น บอระเพ็ด อย่างหนึ่งอย่างใด หรือ ผสมกันก็ได้มาทุบหรือตำให้แหลก ใส่น้ำให้ท่วมหมักทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำสมุนไพรมาใช้ (ส่วนกากนำไปทำเป็นปุ๋ยหมักได้) ใช้น้ำสมุนไพรนี้ 1 ส่วน ผสมกับปุ๋ยน้ำชีวภาพ 1 ส่วน ผสมกับน้ำธรรมดา 200–500 ส่วน ฉีดพ่นผักกระเฉดให้ทั่วป้องกันเพลี้ยไฟ,ไร
แดง,แมลงต่างๆ ฉีดพ่นทุก 7 วัน จะขับไล่แมลงได้ผลดีหากปลูกไม่มากนัก
ถ้าพบหนอน–แมลง–เพลี้ยต่าง ๆ ทำลาย ให้ยกกอที่โดนทำลายขึ้นมากำจัดทิ้งไปเสีย หรือถ้าเจอโรคราน้ำค้าง หรือโรคใบร่วง ( ใบเหลืองแล้วร่วงยอดกุดหักง่าย ) ก็ให้เก็บแยกกอที่เป็นโรคออกมาเผาทำลาย การฉีดพ่นด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพนี้ได้ผลดีมากเมื่อฉีดแล้วจะขับไล่แมลงและเป็นการเร่ง
การเจริญเติบโตของผักกระเฉด ทำให้เก็บผลผลิตได้เร็วขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิต อีกทั้งยังช่วยปรับสภาพน้ำในคูคลองที่ปลูกผักกระเฉด ทำให้น้ำมีคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย
การปลูกผักกระเฉดปลอดสารเคมี เป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้
ให้แก่เกษตรกรของตำบลบางโฉลง และตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลีมาเป็นระยะเวลานานโดยมีตลาดอยู่ที่ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตยและมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้าน
เมื่อก่อนนี้จะปลูกผักกระเฉดแบบธรรมดาและฉีดยาฆ่าแมลงเป็นบางครั้ง แต่การปลูกวิธีใหม่นี้ไม่ใช้สารฆ่าแมลง ทุกวันนี้มีเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงเดินทางไปดูสวนผักกระเฉดที่นี่อย่างต่อเนื่อง เพราะทำในลักษณะเป็นจุดสาธิต เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ข้างเคียง เข้ามาศึกษาดูงานและได้ความรู้การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ แล้วนำมาใช้แทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดต้นทุนการผลิต เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรมาก
ผักกระเฉดยังคงเป็นผักที่อยู่ในความนิยมของผู้บริโภคอยู่มาก
ถ้าสนใจเยี่ยมชมแหล่งปลูก หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อผู้ใหญ่สมทรง รักษาธรรม 61 หมู่ 1 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โทร.0-2327-2280 , 01-580-4163
ผลิตและเผยแพร่โดย
เกตุอร ทองเครือ
กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร
กรมส่งเสริมการเกษตร
|
|
ผักกระเฉดชะลูดน้ำ
ผลิตภัณฑ์ผักกระเฉดชะลูดน้ำ เป็นการนำเอายอดผักกระเฉดมาทำชะลูดน้ำ เพื่อให้มีผลผลิตที่มีลักษณะพิเศษคือ กรอบอร่อย เป็นที่ต้องการของตลาด และยังส่งไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา
วัตถุดิบที่ใช้
1.ยอดผักกระเฉด ที่เกษตรกรได้ทำการเพาะปลูก คัดเฉพาะยอดที่อวบ
2.ไม้ไผ่ ซึ่งใช้เป็นหลักในการทำชะลูดน้ำ
3.ตอก สำหรับมัด
กระบวนการผลิต
1. เก็บยอดผักกระเฉดที่ปลูกในแปลงเพาะปลูก คัดยอดที่อวบๆ แล้วนำมามัดเป็นกำๆ
2. นำไม้ไผ่ที่เตรียมไว้(ความยาวของไม้ไผ่ตามความลึกของแหล่งน้ำ) มาเสี่ยมตรงรอยมัดของกำผักกระเฉด
3. นำไปปักลงดินในแหล่งน้ำสะอาด โดยให้ยอดผักกระเฉดจมลงไปในน้ำ ทิ้งไว้ 2-3 คืน นำขึ้นมาทำความสะอาด แล้วส่งขายตลาด
การใช้/ประโยชน์
ใช้ในการประกอบอาหาร
สถานที่จำหน่าย
กลุ่มผู้ปลูกผักกระเฉด
53 หมู่ 15 ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
ติดต่อ : นายสมบัติ อ่อนละมูล
โทร : (037) 219248
|
กระเฉดชะลูดน้ำ
ทีเด็ดแห่งกบินทร์บุรี
จานเด็ดวันนี้ ไปหาทานได้ไม่ใกล้ไม่ไกล ที่ จ.ปราจีนบุรี ช่วงนี้หมดปัญหาเรื่องฝนฟ้า น้ำท่วมแล้ว เดินทางไปได้สะดวกที่จะชวนไปแวะชิมลิ้มรส คืออาหารที่ได้จากแหล่งน้ำจากธรรมชาติ 'ผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำไฟแดงใส่กระเทียมโทน' อาหารรสชาติไทยๆ ที่ได้ทั้งความกรอบอร่อยของผักกระเฉด และคุณค่าทางสมุนไพรของกระเทียมโทน หลายคนบอกว่ากินแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ผักกระเฉดชะลูดน้ำมีแตกต่างจากผักกระเฉดทั่วๆไป คือไม่มีนม มียอดยาวเป็นพิเศษกรอบอร่อย สามารถนำมากินแบบดิบๆได้เลย ค้นพบโดยธรรมชาติ ตลอดลำต้นจะไม่มีใบ มีแต่ยอดเท่านั้น
สูตรการปรุงผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำใส่กระเทียมโทน สูตรต้นตำรับ
ก่อนอื่นเตรียมผักกระเฉดชะลูดน้ำ จานหนึ่งก็ราวๆ 2 กำ 7-10 ยอด เด็ดใส่จานให้ท่อนหนึ่งยาวประมาณ 3 นิ้ว ใส่กระเทียมโทนที่ปอกแล้วพอสมควร เต้าเจี้ยว พริกขี้หนูสด น้ำมันพืช น้ำซุบ ผงชูรส แล้วนำมาใส่รวมกันในจานผักกระเฉด
ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชทิ้งไว้ให้ร้อน นำเครื่องปรุงทั้งหมดมาผัด ตรงนี้มีเคล็ดว่าอย่าผัดนาน กะประมาณครึ่งนาทีเท่านั้น เพื่อคงความสดและกรอบของผักกระเฉด
นอกจากจะนำมาผัดกระเทียมโทนแล้ว ผักกระเฉดชะลูดน้ำยังนิยมนำมาทำแกงส้มแป๊ะซะใส่ปลาช่อนทอดอีกเมนูหนึ่ง ถ้ามีโอกาสจะนำมาเสนอคราวต่อๆไป
กลับมาที่ผักกระเฉดชะลูดน้ำไฟแดงใส่กระเทียมโทน รับรองได้ถึงความอร่อยแบบมีคุณค่า เพราะผักกระเฉดได้มาจากแหล่งธรรมชาติ สะอาดปลอดภัย และกระเทียมมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง
ตอนนี้กบินทร์บุรี กลายเป็นแหล่งผลิตผักกระเฉดชะลูดน้ำที่ขึ้นชื่อ เป็นสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลไปแล้ว เป็นที่ต้องการของตลาดมากจนขายแทบไม่ทัน
|
|
ผักกระเฉดชะลูดน้ำ
|
มีปลูกตลอดปี ในพื้นที่ 50 ไร่ ที่หมู่ที่ 10,15 ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี เริ่มปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นผักกระเฉดที่มีลักษณะปล้องยาว ชะลูด ไม่มีนม (ปุยขาวที่หุ้มปล้องผักกระเฉด) กรอบ สามารถใช้รับประทานสดๆ แกล้มกับอาหารรสจัด หรือใช้จิ้มน้ำพริก และยังสามารถนำมายำ ผัด หรือ แกงส้มได้อร่อยเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
การปลูกผักกระเฉดชะลูดน้ำนี้ เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน เนื่องจากพื้นที่ ดังกล่าวเป็นที่ลุ่ม ในฤดูฝน น้ำจะหลากและท่วมเป็นประจำทุกปี เกษตรกรสังเกตเห็นว่าน้ำที่หลากมาท่วมผักกระเฉดจนมิดยอด ผักกระเฉดจะงอกหนีน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดที่เจริญขึ้นมาใหม่เป็นยอดอ่อนที่ยาว ไม่อวบ นิ่ม และไม่มีนม จึงเป็นยอดอ่อนที่สะอาด น่ารับประทาน เกษตรกรจึงใช้วิธีนี้มาทำผักกระเฉดชะลูดน้ำ โดยตัดยอดจากแปลงในทุ่งนา มาผูกกับหลักให้จมน้ำจนมิดยอด โดยอาศัยแควหนุมานที่มีน้ำใส ไหลตลอดปีเป็นสถานที่ดำเนินการ |
|
|
ผักกระเฉด ผักพื้นบ้านที่รู้จักนอน
ผักพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยหลายชนิด แพร่หลายและได้รับความนิยมจากชาวไทยทั่วประเทศ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น แต่ชื่อที่นิยมเรียกกันบางชื่อมีความหมายได้หลายอย่าง และบางความหมายไม่ค่อยสุภาพหรือไม่น่าฟัง จึงถูกตั้งชื่อใหม่ให้ใช้เรียกหรือเขียนอย่างเป็นทางการ ( เช่นเป็นราชาศัพท์ ) ผักพื้นบ้านที่อยู่ในข่ายดังกล่าวมานี้มีหลายชนิด เช่น ผักบุ้ง ( เมื่อผวนแล้วได้คำไม่สุภาพ )เรียกผักทอดยอด ผักตบเรียกผักสามหาว และผักที่จะนำเสนอในบทนี้คือ ผักกระเฉด ก็เป็นเช่นเดียวกัน
หลากความหมายของคำว่า “เฉด”
ผักกระเฉดมีคำที่เป็นหลักอยู่ ที่คำลงท้ายคือ เฉด ซึ่งมีความหมายอื่นอยู่ด้วย ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพ.ศ.2525 อธิบายว่า “เฉด เป็นคำกริยา หมายถึง ขับไล่ไสส่ง เช่น เฉดหัวไปนอกจากนี้ยังเป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง คำร้องไล่หมา” และเมื่อเปิดดูหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์
พ.ศ.2416 คือเมื่อ 122 ปีมาแล้ว อธิบายว่า “เฉด เป็นคำสำหรับไล่หมาให้หนีไป เหมือนอย่างคนเห็นหมาเดินมา แล้วร้องตวาดว่าเฉด” จากคำอธิบายของหนังสือสองเล่มนี้ สันนิษฐานว่า แต่เดิม ( ร้อยปีก่อน ) คำว่าเฉดเป็นคำที่คนไทยภาคกลางใช้สำหรับไล่หมาโดยเฉพาะ ต่อมานำมาใช้เป็นกริยาขับไล่ไสส่งคนด้วย ซึ่งก็คงเปรียบได้กับการไล่เหมือนไล่หมานั่นเอง ดังนั้นคำว่า “เฉด” จึงเป็นคำที่ไม่สุภาพสำหรับคนไทยภาคกลาง เมื่อผักชนิดหนึ่งถูกเรียกชื่อว่า ผักกระเฉด จึงฟังดูว่าไม่สุภาพไปด้วย จึงมีผู้ตั้งชื่อผักกระเฉดเสียใหม่ สำหรับคนไทยภาคกลาง เช่น ผักไล่หมา ( จากคำว่า เฉดที่ใช้ไล่หมา ) และผักรู้นอนสำหรับใช้ในราชาศัพท์ ( มาจากลักษณะของใบผักกระเฉด ) เป็นต้น
รู้จักกับผักกระเฉด
ผักกระเฉดมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Neptunia oleracea Lour. ภาคเหนือเรียกผักหนอง ภาคใต้เรียกผักเฉดหรือผักฉีด ภาคอีสาน เรียกผักกะเสด ภาคกลางเรียกผักกระเฉดหรือผักไล่หมา ราชาศัพท์ เรียกกันว่า ผักรู้นอน
ผักกระเฉด เป็นพืชน้ำที่คนไทยรูจักดีที่สุดชนิดหนึ่ง ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์อธิบายคำว่า “ผักกระเฉด คือต้นผักเกิดอยู่ในน้ำ ต้นมันมีนม ใบเล็ก ๆ ถ้าคนเอาไม้ระฟาดเข้า ใบมันก็หุบเข้า บัดเดี๋ยวก็คลี่ออก” จากคำจำกัดคามนี้ แสดงว่าคนไทย เมื่อร้อยปีก่อนรู้จักผักกระเฉดเป็นอย่างดีในฐานะผักที่อยู่ในน้ำ และมีลักษณะพิเศษบางอย่าง เช่น มีนม และ ใบหุบได้ เป็นต้น
ปัจจุบันมีผู้อธิบายลักษณะของผักกระเฉดว่า “เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน เกิดในน้ำ ลำคลอง บ่อ สระที่น้ำไหลขึ้นลงไม่สะดวก ใบเล็กเป็นฝอยคล้ายใบกระถินหรือไมยราบ กิ่งก้านอวบอ้วน มีนมคล้ายก้อนสำลีหุ้มลำต้นอยู่เป็นท่อน ๆ เพื่อเป็นพี่เลี้ยง เพื่อชูชีพให้ต้นเจริญเร็ว ดอกเป็นพู่กลมสีเหลืองคล้ายดอกกระถินเหลือง ขนาดย่อมกว่าเล็กน้อยต้นและยอดอ่อนรับประทานเป็นผักได้” (หนังสือประมวลสรรพคุณยาไทย ของสมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ สำนักวัดพระเชตุพนฯ)
ผักกระเฉดเป็นพืชดั้งเดิม มีถิ่นกำเนิดในที่ลุ่มของประเทศไทยและอินเดีย ชอบขึ้นอยู่ในบริเวณน้ำ-นิ่งเช่น บ่อ หนอง บึง จากลักษณะนี้เองที่ชาวไทยภาคเหนือจึงเรียกว่าผักหนอง
ผักกระเฉดลอยอยู่บนผิวน้ำได้เช่นเดียวกับผักบุ้งและผักตบ แต่ต่างกันตรงที่ผักกระเฉดมีลำต้นตัน ไม่กลวงเหมือนผักบุ้ง หรือไม่พองโป่งมีรูพรุนอยู่ภายในเหมือนผักตบ แต่ผักกระเฉดลอยอยู่บนผิวน้ำได้โดยอาศัยส่วนที่เรียกว่า “นม” ซึ่งเป็นคล้ายฟองน้ำหุ้มอยู่รอบลำต้นผักกระเฉดเป็นช่วง ๆ ระหว่างข้อ
นมของผักกระเฉดมีสีขาวลอยน้ำได้ ทำหน้าที่คล้ายทุ่นหรือชูชีพ เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของผักกระเฉด ชาวไทยไม่นิยมกินนมของผักกระเฉด การนำผักกระเฉดมาปรุงอาหารจึงมักลอกเอานมออกทิ้งไปเสมอ แต่ก็แปลกที่แม่บ้านบางรายพิถีพิถันเลือกซื้อผักกระเฉดเฉพาะที่มีนมขนาดใหญ่สมบูรณ์ ไม่ฉีกขาด และต้องมีสีขาวสะอาด ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกผักกระเฉดขาย ต้องพยายามบำรุงและดูแลรักษานมของผักกระเฉดมากเป็นพิเศษซึ่งมีผลให้ต้องใช้สารเคมี เช่น ปุ๋ยหรือสารพิษฆ่าแมลงมากขึ้น ราคาต้นทุนผักกระเฉดก็สูงขึ้น แต่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้ซื้อเลย เพราะในที่สุดก่อนปรุงเป็นอาหาร ก็ต้องแกะหรือลอกเอานม( ที่สวยงาม )นั้นทิ้งไปเช่นเดียวกับผักกระเฉดที่มีนมไม่สวย
ที่มาของชื่อผักรู้นอน
เนื่องจากมีผู้เห็นว่าชื่อผักกระเฉดมีความหายไม่สุภาพ จึงกำหนดให้ชื่อราชาศัพท์ของผักกระเฉด เรียกว่า “ผักรู้นอน” ซึ่งมีความหมายว่า เป็นผักที่รู้จักนอนนั่นเอง
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของผักกระเฉดก็คือใบมีลักษณะคล้ายกับไมยราบ นั่นคือเมื่อถูกกระทบกระ-แทกจะหุบราบเข้าหากันทันที และในตอนกลางคืนก็จะหุบเข้าหากันคล้ายกำลังหลับนอนพักผ่อน และจะคลี่ใบอีกครั้งเมื่อได้รับแสงสว่างในตอนเช้าคล้ายกับตื่นนอน ดังนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าเป็น “ผักรู้นอน”
ทั้งผักกระเฉดและไมยราบต่างก็เป็นพืชอยู่ในวงศ์เดียวกันคือ Mimosaceae จึงมีลักษณะร่วมของใบอย่างเดียวกัน นอกจากนี้ลักษณะดอกของผักกระเฉดก็คล้ายกับดอกกระถินคือเป็นดอกรวม มีเกสรเป็นเส้นเล็ก ๆ รูปร่างทรงกลม สันนิษฐานว่าชาวไทยในภาคอีสานรู้จักผักกระเฉด ( เรียกว่าผักกะเสด ) มาก่อน เนื่องจากเป็นพืชดั้งเดิม ต่อมาเมื่อมีผู้นำกระถินต่างประเทศเข้ามาปลูก ชาวอีสานสังเกตเห็นว่ากระถินมีลักษณะใบและดอกคล้ายผักกระเฉด จึงเรียกกระถินว่า “กะเสด” ไปด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าชื่อของต้นกระถินในภาษาถิ่นอีสานได้มาจากชื่อของผักกระเฉดนั่นเอง
ผักกระเฉด : ผักพื้นบ้านที่ยังได้รับความนิยม
ผักกระเฉดนับเป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่ยังได้รับความนิยมจากชาวไทยอย่างกว้างขวางมาจนปัจจุบัน เราจะพบผักกระเฉดได้ตามภัตตาคารหรือร้านอาหารทั่วไป โดยเฉพาะร้านข้าวต้มประเภท “โต้รุ่ง” ที่นิยมตั้งอยู่ตามริมถนน มักมีอาหารสูตรพิเศษ หรือตำรับยอดนิยมจากผักกระเฉดอยู่ด้วยเสมอ
ผักกระเฉดที่ใช้เป็นผักนั้นนิยมนำส่วนยอดและลำต้นที่ยังไม่แก่นักมาใช้โดยเด็ดราก และลอกนมออกทิ้งเสียก่อน ผักกระเฉดใช้กินได้ทั้งดิบและสุก เช่น เมื่อใช้เป็นผักจิ้ม อาจใช้ดิบ หรือเผา ย่าง ลวก ต้มกะทิ ฯลฯ ใช้ยำหรือแกงก็ได้ โดยเฉพาะแกงส้มผักกระเฉดเป็นที่นิยมกันมาก
เนื่องจากชาวไทยนิยมกินผักกระเฉดกันมาก ทำให้เกิดอาชีพปลูกผักกระเฉดขายสำหรับเกษตรกรบางกลุ่ม โดยมักปลูกในนาเช่นเดียวกับข้าว แต่ต้องกักน้ำให้ลึกกว่าและดูแลเอาใจใส่มากกว่าข้าว
เกษตรกรผู้ปลูกผักกระเฉดบางรายสะท้อนให้ฟังว่าความยากของการดูแลรักษาผักกระเฉดอยู่ที่ทำให้นม ( ที่ลำต้นผักกระเฉด ) มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ ไม่มีตำหนิ และมีสีขาว ซึ่งจำเป็นต้องใช้สารเคมีที่มีพิษฉีดพ่นมากกว่าปกติ หากผู้บริโภคไม่เน้นความงดงามของนมผักกระเฉดก็จะทำให้การดูแลผักกระเฉดง่ายขึ้นอีกมาก สารเคมีเป็นพิษที่ใช้ก็จะลดลง ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยมากขึ้น และซื้อผักกระเฉดได้ในราคาถูกลงด้วย
ประโยชน์ด้านอื่นของผักกระเฉด
ยอกจากนำมาใช้เป็นผักแล้ว คนไทยยังนำผักกระเฉดมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคบางชนิดอีกด้วย หมอแผนโบราณของไทยถือว่าผักกระเฉดมีรสจืด เป็นยาเย็น และมีฤทธิ์ฝาดสมาน ถือกันว่าเป็นของถอนฤทธิ์ยาอื่น ๆ ให้เสื่อมคุณภาพลง จึงๆไม่ควรให้คนไข้กินร่วมกับยารักษาโรคอื่น ๆ
ในตำราสรรพคุณสมุนไพร สาขาเภสัชกรรมแพทย์แผนโบราณ กล่าวถึงสรรพคุณของผักกระเฉดว่า ดับพิษร้อน ถอนพิษผิดสำแดง บำรุงน้ำนม เจริญอาหาร เป็นต้น
ผักกระเฉดอาจปลูกเอาไว้กินเองได้หากมีบ่อ คู หรือร่องน้ำในบริเวณบ้าน นอกจากจะใช้เป็นผักแล้ว ยังอาจใช้เป็นไม้ประดับได้ด้วย เพราะผักกระเฉดมีลักษณะพิเศษที่น่ารักหลายประการ เช่น ดอกเป็นพู่กลมสีเหลืองงดงาม นมสีขาวรอบลำต้นก็แปลกกว่าพืชอื่น ใบที่หุบได้คลี่ออกได้ก็หาได้ยากก โดยเฉพาะลักษณะที่รู้จักเข้านอนตอนค่ำและตื่นนอนตอนเช้าก็น่าใช้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับมนุษย์ ให้ปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง
ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.