ฟักทอง
1.พันธุ์
แบ่งได้เป็น 2 พวก คือ พันธุ์ทรงพุ่มเตี้ย นิยมปลูกในต่างประเทศ ลักษณะเป็นทรงพุ่มขนาดใหญ่ ก้านใบกลม กลวงหักเปราะง่าย ใบมีขนาดใหญ่มากและ พันธุ์เลื้อย ที่นิยมปลูกในบ้านเรา มีลักษณะลำต้นเลื้อย แตกแขนงมากมายมีดอกตามข้อ ให้ผลแขนงละ 1-2 ผล ส่วนมากนิยมรับประทานผลแก่
2. การเตรียมดิน
ไถตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน ทำการตีดิน จะยกร่องก็ได้ ไม่ยกร่องก็ได้ ขุดหลุมระยะระหว่างต้น x ระหว่างแถว ประมาณ 1.5 x1.5 เมตร ใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 1 กำมือ คลุกเคล้าดินให้เข้ากัน
3. การปลูก
เมื่อขุดหลุมแล้ว ทำการหยอดเมล็ดหลุมละ 4-6 เมล็ด หรือเพาะกล้าในกระถาง หรือถาดหลุมก่อน ลงปลูกก็ได้ กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้ฟางข้าว โรยเหนือหลุมที่ปลูกด้วย
4. การใส่ปุ๋ย
เมื่ออายุฟักทองประมาณ 20-25 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 14-14-21 อัตรา 50 กก./ไร่ (ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน)
5. การให้น้ำ
ควรให้น้ำระบบร่องจะดีกว่า การให้แบบสปริงเกอร์ เพราะจะทำให้เกิดโรคง่าย
6. การเก็บเกี่ยว
ฟักทองตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวได้ใช้เวลาประมาณ 90-110 วัน โดยเก็บผลที่แก่จัด โดยการใช้กรรไกรหรือมีดตัดที่ขั้ว บรรจุถุง หรือเข่งชั่งน้ำหนักแล้วจึงส่งพ่อค้า
7. โรคและแมลง
เนื่องจากไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนจึงไม่ค่อยนิยมพ่นสารเคมี จะมีบ้างคือ แมลงวันทอง ควรดักด้วยสารล่อ หรือพ่นด้วย เซฟวัน 85 %
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
ฟักทอง เป็นพืชผักที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชตระกูลแตง (Cucurbitaceae) ซึ่งได้แก่ ฟักทอง แตงกวา แตงร้าน ฟักแฟง มะระ บวบ แตงโม แคนตาลูป ฯลฯ เป็นพืชผักที่มีราคาถูก มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณและถนอมสายตา นำมาทำอาหารได้หลายชนิด เช่น ยอดอ่อนนำมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือใส่แกงเลียง แกงส้มเปรอะ แกงส้ม เป็นต้น เนื้อใช้ทำอาหารได้ทั้งคาว-หวาน ทั้งผัด-แกง-ขนม และใช้เป็นอาหารเสริมในเด็กเล็ก รวมทั้งดัดแปลงมาใช้โรยหน้าหรือปนในขนมต่างๆ ทำให้มีสีสันสวยงาม และมีคุณค่าทางอาหารมากยิ่งขึ้น
มีหลายจังหวัด แต่ที่ปลูกมากคือ ศรีษะเกษ, สกลนคร, ขอนแก่น, กาญจนบุรี, ชุมพร และฉะเชิงเทรา ซึ่งจะทยอยกันให้ผลิตออกมาสู่ท้องตลาด ทำให้มีฟักทองขายตลอดทั้งปี
คุ ณ ค่ า ท า ง อ า ห า ร
|
ในเนื้อฟักทองสด 100 กรัม จะมีคุณค่าทางอาหาร ดังนี้
โปรตีน |
1.63
|
|
ไขมัน |
0.2
|
|
กากใย |
0.88
|
|
คาร์โบไฮเดรต |
10.1
|
|
วิตามินเอ |
2,220
|
หน่วยสากล |
พลังงาน |
48.7
|
กิโลแคลอรี |
ซึ่งจะเห็นว่า ฟักทองเป็นพืชผักที่มีกากใยมากพอสมควร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำและฟักทองยังมีวิตามินสูง ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณและสายตาอีกด้วย
ลั ก ษ ณ ะ พ ฤ ก ษ ศ า ส ต ร์
|
ฟักทองเป็นพืชผักที่มีลำต้นทอดและเลื้อยไปตามพื้นดิน เช่นเดียวกับแตงโม มีดอกสีเหลือง ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะแยกกันแต่อยู่ในต้นเดียวกัน ดังนั้น จึงต้องการช่วยผสมเกสร โดยวิธีธรรมชาติ เช่น ลมพัด หรือมีแมลงผสมเกสร หรือผู้ปลูกช่วยผสมเกสรเพื่อการติดผล
เป็นไม้เถาอ่อน มีขนสากมือ มีหนวดสำหรับเกี่ยวพันทอดไปตามพื้นดิน จึงต้องการเนื้อที่ปลูกมากกว่าพืชผักอื่นๆ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ที่มีอายุปีเดียว (ฤดูเดียว) เมื่อให้ผลแล้วก็ตายไป
มีหลายพันธุ์ทั้งแบบต้นเลื้อยและเป็นพุ่มเตี้ย พันธุ์เบามีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50-60 วัน ส่วนพันธุ์หนักมีอายุตั้งแต่หยอดเมล็ดจนติดผลอ่อน 45-60 วันและให้ผลแก่เมื่อ 120-180 วัน โดยทยอยเก็บผลได้หลายครั้งจนหมดผล
มีพันธุ์พื้นเมืองหลายพันธุ์ เรียกตามลักษณะของผล เช่น พันธุ์ข้องปลา จะมีลักษณะของผลคล้ายข้องปลา, พันธุ์ผลมะพร้าว จะมีลักษณะผลคล้ายมะพร้าว เป็นต้น
พันธุ์ดำ เมื่อแก่เปลือกจะมีสีเขียวเข้มอมดำ เปลือกจะขรุขระเป็นปุ่มปม คล้ายผิวคางคก (บางทีก็เรียกพันธุ์คางคก) ก้นของผลยุบเข้าไปในผล ทำให้ปอกเปลือกยาก แต่เป็นพันธุ์หนักผลโต
พันธุ์น้ำตก ผิวจะไม่ค่อยขรุขระนัก ก้นของผลจะนูนออกมา ทำให้ปอกเปลือกง่าย ผลเล็กกว่าพันธุ์ดำเล็กน้อย พันธุ์ฟักทองนี้ จะมีชื่อเรียกแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน มีขนาดรูปร่างสีเปลือก ผล และเนื้อก็แตกต่างกันไป พันธุ์เบาให้ผลเล็ก อายุเก็บเกี่ยว 120-180 วัน โดยทยอยเก็บผลได้เรื่อยๆ 4-5 ครั้ง ต้นหนึ่งๆ จะให้ผลได้ 4-5 ผล หรือมากกว่าถึง 7 ผล
พันธุ์คางคก หรือพันธุ์ดำ ผิวขรุขระมาก
|
พันธุ์คิงคอง จะมีพูขึ้นมาคล้ายกล้ามคิงคอง
|
ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ที่ เ ห ม า ะ ส ม
|
ดิน ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิดที่มีการปลูกผัก ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี และมีการระบายน้ำดี มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินระหว่าง 5.5-6.8 (ชอบดินเป็นกรดเล็กน้อย) ชอบอากาศแห้ง ดินไม่ชื้นแฉะ และน้ำไม่ขัง
ฤดูปลูก ส่วนมากจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม หรือหลังฤดูทำนา แต่สามารถได้ดีในปลายฤดูฝน และต้นฤดูหนาวคือช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม และปลูกได้ดีที่สุดคือช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธุ์
การปลูกฟักทองคล้ายๆ กับแตงโม ควรขุดไถดินลึกประมาณ 25-30 ซม. เพราะเป็นพืชที่มีระบบรากลึก ควรตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืชได้บ้าง ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน แล้วจึงย่อยพรวนดินให้ร่วนซุยเก็บเศษวัชพืชต่างๆ ออกจากแปลงให้หมด
การปลูก
พันธุ์ที่มีลำต้นเลื้อยและให้ผลใหญ่ ใช้เนื้อที่ปลูกมาก โดยใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร
พันธุ์ที่มีทรงต้นพุ่ม ให้ผลขนาดเล็ก ใช้ระยะปลูก 75x150 ซม. (พันธุ์เบา)
ใช้วิธีหยอดหลุมปลูก หลุมละ 3-5 เมล็ด ลึกประมาณ 3-5 ซม. แล้วกลบหลุม ถ้ามีฟางข้าวแห้ง ให้นำมาคลุมแปลงปลูก เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าดิน และเมล็ดพันธุ์จะงอกเป็นต้นกล้า ตั้งตัวได้เร็วการหยอดหลุมปลูกในแปลง จะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง และโตเร็วกว่า การย้ายกล้าจากถุงมาปลูก หากหลุมใดไม่งอก แม้จะนำมาปลูกซ่อม ก็จะเจริญไม่ทัน แต่หากว่างไว้ จะกินเนื้อที่ว่างมาก ควรปลูกซ่อม แต่จะเก็บผลได้ช้ามาก
ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า แ ล ะ ใ ส่ ปุ๋ ย
|
เมื่อต้นกล้างอกจะมีใบจริง 2-3 ใบแล้ว ควรถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งไป เหลือต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง เหลือหลุมละ 2 ต้น และรดน้ำทุกวัน
เมื่อต้นกล้าเจริญจนไม่มีใบจริง 4 ใบ ช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตหรือปุ๋ยผัก (21-0-0) ละลายน้ำแล้วใช้รดต้นฟักทอง ต้องรดน้ำทุกวัน
เมื่อฟักทองเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 (หรือสูตรใกล้เคียงกัน เช่น 13-13-27 หรือ 14-14-21) โรยรอบๆ ต้นแล้วรดน้ำตามและใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อฟักทองเริ่มติดผลอ่อน
พันธุ์ฟักทองที่เป็นพันธุ์หนักให้ผลโต อายุเก็บเกี่ยวยาวนาน ดังนั้นการใส่ปุ๋ยให้ฟักทองพันธุ์หนักควรใส่มากกว่าพันธุ์เบา
การรดน้ำต้องรดน้ำทุกวัน จนคะเนว่าอีก 15 วัน จะเก็บผลแก่ได้ จึงเลิกรดน้ำ
ควรทำในระยะแรก เพื่อให้ดินร่วนซุยและโปร่ง พอต้นฟักทองมีใบปกคลุมดินแล้วก็ไม่ต้องกำจัดวัชพืช
เ ท ค นิ ค ก า ร ช่ ว ย ผ ส ม เ ก ส ร
|
เมื่อดอกฟักทองกำลังบานให้เลือกดอกตัวผู้ เด็ดมาแล้วปลิดกลีบดอกออกให้หมด นำไปเคาะละอองเกสรตัวผู้ให้ตกลงบนดอกตัวเมีย ถ้าติดผลจะให้ผลอ่อน ถ้าไม่ติดผลดอกตัวเมียจะฝ่อไป วิธีนี้เรียกว่า "การต่อดอก"
การต่อดอก โดยปลิดกลีบดอกตัวผู้ออก
|
แล้วนำไปเคาะให้ละอองเกสรตกลงบนดอกตัวเมีย
|
อีกวิธีหนึ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกฟักทอง จ.สกลนคร แนะนำเทคนิคง่ายๆ คือ เอานมผงที่ใช้เลี้ยงทารกผสมน้ำพอประมาณ พ่นใส่ดอกฟักทองในระยะที่ดอกกำลังบาน เพื่อล่อแมลงมาช่วยผสมเกสร วิธีนี้ช่วยให้ฟักทองติดผลทุกเถา โดยไม่ต้องต่อดอก
ฟักทองเป็นพืชผักที่แมลงไม่ค่อยชอบทำลายเมื่อผลแก่เก็บเกี่ยวไว้เลยโดยสังเกตสีเปลือก สีจะกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ไม่แตกต่างกันมากนักดูนวลขึ้นเต็มทั้งผล คือมีนวลขึ้นตั้งแต่ขั้วไปจนตลอดก้นผล แสดงว่าแก่จัดการเก็บควรเหลือขั้วติดไว้ด้วยสักพอประมาณเพื่อช่วยให้เก็บรักษาได้นานขึ้นสามารถเก็บผลไว้รอขาย หรือบริโภคได้นานๆ โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น
จะทยอยเก็บผลได้ 5-6 ครั้ง เก็บได้เรื่อยๆ ถ้าปลูกเดือนกุมภาพันธ์จะเก็บผลได้ในเดือนมิถุนายน (พันธุ์หนัก) ทยอยเก็บไปได้เรื่อยๆ จนเดือนกรกฎาคม ต้นหนึ่งถึง 5-7 ผล 1 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 1-1.5 ตัน ถ้าดูแลรักษาใส่ปุ๋ยดีจะให้ถึง 2 ตัน (น้ำหนักสด) ถ้าพันธุ์เบา ปลูกได้ 50-60 วัน ก็เก็บผลได้
โ ร ค - แ ม ล ง ศั ต รู ที่ ส ำ คั ญ
|
1. โรคเถาเหี่ยว (เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
ลักษณะคือใบในเถาจะเหี่ยวลงทีละใบ เมื่อเหี่ยวจากปลายเถามาโคนเถาแล้ว จะเหี่ยวพร้อมกันหมดทั้งต้น ถ้าเอามีดเฉือนเถาที่เหี่ยวดูตามความยาวจะเห็นว่า กลางลำต้นในเถาฉ่ำน้ำมากกว่าปกติ เชื้อแบคทีเรียนี้จะอาศัยอยู่ในตัวแมลงเต่าแตง เมื่อแมลงเต่ามากัดกินใบ จะนำเชื้อนี้เข้าสู่ต้นฟักทองและเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีเซพวิน 85 อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ห้ามใช้เกินจะทำให้ใบใหม้) ฉีดพ่นแมลงเต่าที่เป็นพาหะนำโรคเถาเหี่ยว โดยฉีดพ่นเมื่อต้นกล้าแข็งแรง พ่นทุก 5-7 วัน จนฟักทองเริ่มทอดยอด
2. เพลี้ยไฟ
เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ตัวอ่อนจะมีสีแสด ตัวแก่จะเป็นสีดำตัวขนาดเท่าปลายเข็มจะดูดน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใต้ใบอ่อน ทำให้ยอดหดสั้นปล้องถี่ ยอดชูตั้งขึ้น หรือเรียกว่า โรคยอดตั้ง (ไอ้โต้ง) ถ้าพึ่งเริ่มเป็นใหม่ๆ แล้วมีฝนตกมาหรือให้น้ำทั่วถึงเพลี้ยไฟจะหายไป
โรคยอดตั้ง เกิดจากเพลี้ยไฟ
|
|
ก า ร ป้ อ ง กั น ก ำ จั ด
|
1. ปลูกมะระล้อมไว้สัก 2 ชั้น แล้วจึงปลูกฟักทอง เพราะมะระจะต้านทานเพลี้ยไฟได้ดี หรือปลูกมะระแซมในแปลงที่ปลูกฟักทอง
2. เพลี้ยไฟชอบระบาดในฤดูแล้ง ถ้ามีฝนมาจะหายไป เมื่อเพลี้ยไฟเข้าทำลายใช้แลนเนท หรือไรเนต หรือพอสซ์ ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน ถ้าระบาดมากฉีดพ่น 3-5 วัน โดยงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน
สรรพคุณทางสมุนไพรของฟักทอง
ฟักทองเนื้อละม้าย
|
เหมือนทอง |
ยอด, ดอก อ่อนแทนผอง |
ผักจิ้ม |
เมล็ด ถ่ายพยาธิร้อง |
ออกหมด |
ราก เริงกามราคะปิ้ม |
เปรียบคล้ายคชสาร |
|
ถวัลย์ นวลักษณกวี ประพันธ์
|
http://www.doae.go.th/library/html/detail/pumpkin/pumpkin2.htm
ฟักทองญี่ปุ่น
มีถิ่นกำเนิดแถบอเมริกากลาง ภาคเหนือของเม็กซิโก และภาค ตะวันตกของ อเมริกาเหนือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cucurbita moschata อยู่ในพืช ตระกูลแตง ปลูกกันแพร่หลาย ในเขตร้อน และเขตแห้งแล้ง เป็นพืชล้มลุก ลำต้นเป็นเถาเลื้อย ตามพื้นดิน ยาว 20-30 ฟุต ลักษณะลำต้นแข็ง เป็นเหลี่ยม มีร่องยาว ใบเป็นรูปห้าเหลี่ยม ขนาดใหญ่ ขอบใบหยักลึก มีขนปกคลุม เนื้อใบหยาบ ก้านใบและดอกมีขนาดเล็ก ผลมีสีเขียว รูปทรงกลมค่อนข้างแบน เนื้อแน่นแข็ง ฟักทองอ่อนเนื้อสีเหลือง เมื่อแก่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม รสเข้ม เมล็ดแบนรี สีขาวนวล อายุกเก็บเกี่ยว หลังจากย้ายปลูก ประมาณ 110 วัน
สภาพแวดล้อมการปลูกฟักทองญี่ปุ่น
สภาพอากาศ
ฟักทองญี่ปุ่นเจริญได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น มีความชื้นพอเพียง สามารถปลูกได้ในพื้นที่ ที่มีความสูงตั้งแต่ 600 ถึง 1200 เมตร จากระดับน้ำทะเล
อุณหภูมิ
โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเพาะกล้าฟักทองญี่ปุ่น อยู่ระหว่าง 21.1-35.0′C ในขณะที่อุณหภูมิที่เหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 18-24′c
ดิน
ที่เหมาะสมต่อการปลูกฟักทองญี่ปุ่น ควรเป็นดินร่วนซุย มีความสมบูรณ์ หน้าดินลึก และระบายน้ำได้ดu
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของฟักทองญี่ปุ่น
ส่วนของฟักทองญี่ปุ่น
ที่สามารถรับประทานได้ เช่น ผล ยอดอ่อน ดอก และเนื้อที่อยู่ในเมล็ด เนื้อฟักทองญี่ปุ่นที่ดี ต้องแน่นและเหนียว สามารถนำผลมาประกอบอาหาร ได้หลายชนิด เช่น แกงเลียง ผัด แกงเผ็ด ต้มจิ้มน้ำพริก หรือต้มน้ำตาลคลุกงา ผสมเกลือป่นเล็กน้อย รับประทานคล้ายขนมหวาน ทำฟักทองแกงบวด สังขยาฟักทอง ฟักทองเชื่อม ดอกฟักทอง และยอดฟักทองนำมาแกงส้ม หรือลวกจิ้มน้ำพริก เมล็ดฟักทองญี่ปุ่นนำมาอบแห้ง กินเนื้อข้างใo
ฟักทองญี่ปุ่น
มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสารเบต้าแคโรทีน ค่อนข้างสูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เมล็ดฟักทองช่วยป้องกันไม่ให้ ต่อมลูกหมากโต ป้องกันและรักษาโรคนิ่วป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสู'
การปฏิบัติดูแลรักษาฟักทองญี่ปุ่นในระยะต่างๆของการเจริญเติบโต
การเตรียมกล้า
เพาะกล้าฟักทองญี่ปุ่น แบบประณีตในถาดหลุมขนาดใหญ่ ย้ายปลูกเมื่อใบเลี้ยงงอก (อายุ 6-8 วัน) โดยไม่ต้องรอใบจริ'
การเตรียมดินปลูกฟักทองญี่ปุ่น
โรยปูนขาวอัตรา 0-100 กรัม/ตร.ม. และขุดดิตตากแดด 14 วัน เก็บเศษวัชพืชออกให้สะอาf
การปลูกและดูแลรักษาฟักทองญี่ปุ่น
เตรียมดินขึ้นแปลง สูง 25-30 ซม. กว้าง 3 เมตร ขุดหลุมกว้าง 80 และลึก 30 ซม. ห่างกันหลุมละ 100 ซม. ระยะห่างระหว่างแถว 3 เมตร คลุกปุ๋ยคอกอัตรา 1 กก./ต้น ปุ๋ย 12-24-12 อัตรา 30 กรัม/ต้น กลับดินให้เข้ากัน กลบดินเต็มหลุม รดน้ำในหลุมให้ชุ่ม และควรปลูกในเวลาเย็น
ข้อควรระวัง อย่าย้ายกล้าเมื่ออายุต้นแกเกินไป (ไม่เกิน 10 วัน)
- การทำค้าง ควรทำในช่วงฤดูฝน เพื่อลดการเกิดโรคจากเชื้อรา และป้องกันหนูกัดกินผล โดยการทำค้างสูงจากพื้นดินประมาณ 1-1.50 เมตร
- การตัดแต่งผล ให้เหลือไว้ 1 ลูก/กิ่ง เพื่อให้ได้ผลที่สมบูรณ์และขนาดตามที่ตลาดต้องการ ในการเก็บผลไว้ ควรตรวจดูให้ละเอียด ว่ามีรอยแผลแมลงเจาะวางไข่ ไว้หรือไม่ ตั้งแต่ผลเล็ก จากนั้นใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หุ้มผลไว้เพื่อป้องกันแมลงเจาะวางไข่
- กรณีปลูกแบบเลื้อย ควรใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ รองผลและห่อผลเพื่อป้องกันแมลงวันทองและสีผิวเสีย
การให้น้ำ
ให้น้ำฟักทองญี่ปุ่นตามความเหมาะสม ในช่องแรกให้รดน้ำโดยการใช้สปริงเกอร์
การให้ปุ๋ย
ระยะแรกใส่ปุ๋ย 46-0-0 และ 15-0-0 อัตรา 30-35 กรัม/ต้นและ 20 กรัม/ต้น ตามลำดับ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 40 กรัม/ต้น ครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 80 กรัม/ต้น
การเก็บเกี่ยว
เมื่ออายุ 105-120 วัน หรือผิวมีสีเข้มมันแข็งแรง ขั้วผลจะเป็นสีน้ำตาล และขนาดเล็กลงใช้มีดหรือกรรไกรตัดขั้ว ควรล้างทำความสะอาดผลและทา ปูนแดงที่ขั้วแล้วนำไปผึ่งไว้ในเรือนโรง
ข้อควรระวัง
1.การปลูกฟักทองญี่ปุ่นในฤดูแล้ง ควรระวังเพลี้ยไฟเข้าทำลายต้นกล้าระยะการเจริญเตืบโตระยะแรก
2.ควรดูแลต้นฟักทองในระยะการเจริญเติบโตระยะแรกเป็นพิเศษ
โรคและแมลงศัตรูฟักทองญี่ปุ่นที่สำคัญในระยะต่างๆของการเจริญเติบโต
ระยะกล้า 6-8 วัน เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ขาว,
ระยะย้าย-เจริญเติบโต 8-20 วัน โรคราแป้ง, โรคไวรัส, เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ขาว,
ระยะติดผล 40-80 วัน โรคราแป้ง, โรคไวรัส, เพลี้ยไฟ, แมลงวันแตง, แมลงหวี่ขาว,
ระยะโตเต็มที่ 105-110 วัน โรคราแป้ง, โรคไวรัส, เพลี้ยไฟ, แมลงวันแตง, แมลงหวี่ขาว,
ที่มา : ไม่ระบุ
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.