-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 297 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

อาชีพเสริม







ว่าที่ ร.ต.หญิง พิมพ์ใจ กัญชนะ

ชาวบ่อสร้าง เพิ่มมูลค่าเศษไม้ไผ่จากการทำร่ม
แปรรูปเป็น ถ่าน-น้ำส้มควันไม้ ลดปริมาณขยะ


บ้านบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านการทำร่มจากไม้ไผ่ โดยภูมิปัญญาของชาวบ้านแห่งนี้ที่มีตำนานเล่าขานมานานนับร้อยปีว่า มีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ชื่อพระอินถา แห่งสำนักวัดบ่อสร้างได้ศึกษาวิชาการทำร่ม พร้อมนำกลับมาถ่ายทอดที่บ้านบ่อสร้างและชุมชนรอบหมู่บ้าน ในเขต 2 อำเภอ คือ อำเภอสันกำแพงและอำเภอดอยสะเก็ด จนเกิดเป็นสถานที่เรียนรู้ ฝึกสอนวิธีการทำร่มให้กับชาวบ้านในละแวกกว่า 7 หมู่บ้าน เพื่อใช้ถวายพระภิกษุ และใช้กันแดดกันฝนกันเฉพาะในชุมชน จนกลายเป็นอาชีพของคนบ่อสร้างมาจนถึงทุกวันนี้

คุณกัณณิกา บัวจีน ผู้จัดการ บริษัท ศูนย์ทำร่ม (1978) จำกัด กล่าวว่า ตนเองได้สืบทอดธุรกิจการทำร่มไม้ไผ่มาจากคุณพ่อ คือ คุณถวิล บัวจีน ซึ่งเป็นชาวบ้านบวกเป็ด (พื้นที่ติดต่อด้านทิศเหนือของหมู่บ้านบ่อสร้าง) อดีตเป็นมัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวมาชมการทำร่มไม้ไผ่แถบอำเภอสันกำแพง และอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเห็นหัตถกรรมฝีมือคนไทย จึงเกิดความประทับใจ คุณพ่อจึงมีแนวคิดจะนำวิธีการทำร่มมารวมไว้แห่งเดียวกันแบบครบวงจร โดยไม่ต้องตระเวนดูการทำชิ้นส่วนร่มกว่า 7 หมู่บ้าน มาไว้ในที่เดียวกัน และสามารถเผยแพร่กรรมวิธีการทำร่มให้เข้าใจง่าย

เมื่อปี พ.ศ. 2521 จุดรวมการทำร่มได้กลายเป็น บริษัท ศูนย์ทำร่ม (1978) จำกัด ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อและฟื้นชีวิตร่มบ่อสร้าง ซึ่งขณะนั้นเริ่มเลือนหายไปจากความนิยม เนื่องจากมีร่มสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ และบริษัทยังเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมกระบวนการผลิตร่มไม้ไผ่ได้ครบทุกขั้นตอน ทำให้เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น และไม่ใช่การทำหัตกถรรมใต้ถุนบ้านเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างอุตสาหกรรมให้เลี้ยงตัวเองได้อย่างมีคุณค่าน่าภาคภูมิใจ จนเป็นที่รู้จักในนาม ศูนย์อุตสาหกรรมร่มบ่อสร้างมาจนถึงทุกวันนี้

ร่มบ่อสร้าง นอกจากจะมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์อันเลื่องชื่อแล้ว ชื่อเสียงอีกประการหนึ่งคือ ความทนทาน เนื่องจากสามารถกันแดดและกันฝนได้ ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาใช้ โดยขั้นตอนการทำร่มประกอบด้วยผ้าหรือกระดาษสา สำหรับทำตัวร่ม ส่วนหัวร่มทำจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้กระท้อน ส่วนโครงร่มและก้านร่มใช้ไม้ไผ่ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการทำร่ม

กระบวนการผลิตร่ม ใช้แป้งเปียกผสมน้ำตะโกหรือน้ำยางมะค่าในการติดผ้าหรือกระดาษเข้ากับร่ม ทำให้ติดทนนานไม่หลุดร่อน เวลาลงสีน้ำมันจะผสมน้ำมันมะมื้อและน้ำมันตังอิ๊วลงไปด้วย เพื่อให้เกิดสีเงางามและยังทำให้ร่มทนแดดทนฝน ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นงานฝีมือที่ต้องอาศัยความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน

สำหรับหัวและโครงร่มใช้ไม้เนื้ออ่อน และไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งที่ผ่านมาพบปัญหาการบิดงอแตกหัก หรือเกิดการหดตัวของเนื้อไม้เมื่อมีการส่งออกไปต่างประเทศ เนื่องจากอากาศของไทยที่ค่อนข้างร้อนชื้นกว่าประเทศในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการผลิตที่ยังไม่ได้มาตรฐานเฉพาะในขั้นตอนการตากแดด เพื่อไล่ความชื้นในเนื้อไม้ที่ต้องพึ่งพาแสงแดด และใช้เวลาในการตากนาน 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น จากเดิมไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจน และเพื่อให้การทำงานร่วมกับพนักงานกว่า 145 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานอาวุโสในชุมชนได้ตระหนักถึงปัญหา บริษัทจึงมีแนวคิดสนับสนุนให้พนักงานแจ้งปัญหาที่พบในกระบวนการผลิตของตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เกิดการสร้างกระบวนการคิด และกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของ กล้าคิด กล้านำเสนอ และเกิดการยอมรับสิ่งใหม่ๆ นำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในที่สุด

จากที่ไม่เคยคิดว่าต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต แต่ด้วยโจทย์จากพนักงานและลูกค้า จึงทำให้บริษัทเข้าไปขอรับการปรึกษากับโครงการ iTAP (โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย) จนเกิดเป็น "โครงการการทำเตาอบไม้ไผ่" โดย iTAP ได้เชิญคณะอาจารย์ซึ่งเชี่ยวชาญ จากภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษาแนะนำการสร้างเตาอบไม้ไผ่ที่มีประสิทธิภาพ และแนะนำเทคนิคการอบไม้ไผ่ตามหลักวิชาการ จนสามารถอบไม้ไผ่ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เหมือนเรามีครูมาสอน ทำให้ประหยัดเวลาในการทำงานลงได้ และวิธีการยังเป็นที่ยอมรับกันแบบสากลอีกด้วย ทำให้บริษัทได้ไม้ไผ่ที่มีคุณภาพดี ลดการสูญเสียจากการบิด งอ ของไม้ไผ่ลงได้

นอกจากนี้ การทำงานของบริษัทจะเน้นการเป็นครอบครัวใหญ่ พนักงานบางคนมีอายุมากและเห็นเรามาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้น เคล็ดลับในการทำงานคือ เริ่มต้นจากการพัฒนาคนก่อน เพื่อให้คนเปิดใจกว้าง เนื่องจากการทำร่มเป็นหัตถกรรมที่มีมานาน อีกทั้งเป็นงานฝีมือ พนักงานอาจไม่ยอมรับกับเทคโนโลยีหรือวิธีการใหม่ๆ แต่เราก็ให้เขาบอกเล่าถึงปัญหาในการทำงานต่างๆ ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้เปิดใจรับได้ง่ายขึ้น และสร้างการมีส่วนร่วม การทำงานจึงเป็นไปอย่างน่าพึงพอใจ โดยขณะนี้ใช้เวลาอบไม้ลดลงเหลือเพียง 5-7 ชั่วโมง ต่อไม้ 300 ชิ้น ในกระบวนการผลิตต่อวัน จากเดิมใช้เวลากว่า 3 วัน

ผู้จัดการ บริษัท ศูนย์ทำร่มฯ กล่าวอีกว่า เมื่อเล็งเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต จึงได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องกับ iTAP ใน "โครงการการทำเตาเผาถ่านไม้ไผ่" โดยโครงการนี้เกิดจากกระบวนการผลิตร่ม ในอดีตมีเศษไม้ไผ่เหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะข้อไม้ไผ่ที่ต้องตัดทิ้งก่อนนำมาผ่าเป็นโครงร่ม ซึ่งหากปล่อยไว้หรือเผาทิ้งอาจทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ บริษัทจึงมีแนวคิดจะนำเศษไม้ไผ่เหล่านี้กลับมาใช้ประโยชน์ โดยนำมาทำเป็น "ถ่าน" จึงได้ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ iTAP ในการสร้างเตาเผาถ่านไม้ไผ่ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ได้เทคนิคในการเผาถ่านไม้ไผ่ที่มีคุณภาพ และสามารถลดควันที่เกิดจากการเผาถ่าน

ผลพลอยได้จากโครงการนี้ ยังได้ "น้ำส้มควันไม้ไผ่" ที่สามารถนำไปใช้แช่โครงร่มทดแทนการนำสารเคมีมาใช้เพื่อป้องกันแมลง ส่วนที่เหลือยังได้แจกจ่ายให้กับพนักงานไปใช้ในการเกษตร ด้านผลิตภัณฑ์ถ่านไม้ไผ่ที่เผาได้ นอกจากจะแจกจ่ายให้กับพนักงาน ยังนำมาเป็นของที่ระลึกจำหน่ายเป็นถ่านดูดความชื้นและกำจัดกลิ่น ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายถ่านไม้ไผ่นี้ยังกลับคืนเป็นเงินปันผลให้กับพนักงานอีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดไปสู่ "โครงการเครื่องจักรโครงพัดไม้ไผ่" เกิดจากปัญหาแรงงานที่วันนี้ค่อนข้างขาดตลาด เพราะการทำร่มและพัดไม้ไผ่เป็นอาชีพเฉพาะ และเป็นงานหัตถกรรมที่ต้องใช้ฝีมือที่มีความละเอียดอ่อน หากไม่เชี่ยวชาญอาจทำให้ซี่ไม้ไผ่ของพัดแต่ละชิ้นหัก ทำให้ต้องสูญเสียวัตถุดิบ ดังนั้น การนำเครื่องจักรมาใช้เหลาและแต่งลายพัด เชื่อว่าจะทำให้ได้พัดไม้ไผ่มีคุณภาพมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนา

ด้านทีมผู้เชี่ยวชาญ iTAP ประกอบด้วย ผศ.อำไพ เปี่ยมอรุณ และ รศ.ดร.ธีระ วีณิน และหนึ่งในทีมคือ รศ.ทรงกลด จารุสมบัติ ภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากโจทย์ที่ บริษัท ศูนย์ทำร่ม (1978) จำกัด มีปัญหาเรื่องกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ และเมื่อเข้าร่วมกับ iTAP ในโครงการต่างๆ ผลที่ได้รับคือ ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตและส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา และสามารถนำของเหลือทิ้งจากไม้ไผ่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ล่าสุด บริษัทยังมีแนวความคิดนำ "ขุยไม้ไผ่" ซึ่งเป็นของเหลือทิ้งและไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆ ได้อีก กลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น แผ่นไม้อัด ถาดรองผลไม้ ฯลฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ บริษัทยังจุดประกายความคิดในการนำเทคโนโลยีมาสานต่อภูมิปัญญาเพื่อทำงานหัตถกรรมไม่หยุดยั้ง โดยนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับการทำ "กระดาษสาทนไฟ" สนับสนุนโดย สวทช. เครือข่ายภาคเหนือ มาใช้ประโยชน์ ซึ่ง บจก. ศูนย์ทำร่ม(1978) มีแนวคิดในการนำผลงานวิจัยดังกล่าวมาต่อยอดทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โคมไฟกระดาษสา เพื่อให้มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนและเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาโครงการต่อไป

สำหรับตลาดของผลิตภัณฑ์ร่มไม้ไผ่ ผู้จัดการ บริษัทกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจะแข่งขันด้วยคุณภาพโดยเฉพาะสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่มีคู่แข่งขันคือ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่สินค้าของเราจะต้องเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ลดการนำสารเคมีมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ไม่เกิดสารพิษตกค้าง สร้างความแตกต่างให้สินค้า โดยลูกค้าเป้าหมายเน้นกลุ่มการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม รีสอร์ต สปา ฯลฯ

สินค้าของบริษัทยังได้รับการยอมรับจาก UNESCO (The Seal of Excellence in Southeast Asia Award ปี 2007 และ 2008) ในการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ขององค์กร ทำให้ได้รับความไว้วางใจในตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และจากการเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านอันทรงคุณค่า ยังทำให้ "ร่มบ่อสร้าง" กลายเป็นสัญลักษณ์ของงานฝีมือไทยที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยี่ยมเยือน

อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่นำเอาร่มบ่อสร้างไปสาธิตการวาดร่มทั่วโลก เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 "ร่มบ่อสร้าง" ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้เขตพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด และอำเภอสันกำแพงเป็นสถานที่ผลิตร่มบ่อสร้างไว้ เพื่อเป็นมรดกทางภูมิปัญญาให้กับชุมชน

จากการทำงานที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าผลประกอบการ ในปี 2553 เพิ่มขึ้น 30% โดยเน้นจุดขายของการเป็นผลิตภัณฑ์ร่มบ่อสร้างที่มีคุณภาพ ลดการใช้สารเคมีให้เหลือน้อยที่สุด

ด้านความเห็นของการเข้าร่วมในโครงการ iTAP ผู้จัดการ บริษัท ศูนย์ทำร่มฯ กล่าวว่า " iTAP ได้เปลี่ยนทัศนคติ จากเคยคิดว่าการทำงานวิจัยและพัฒนาต้องเสียเงินล้วนๆ เป็นเรื่องยากและไกลตัว งานหัตถกรรมไม่เห็นต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่เมื่อได้เข้าร่วมในโครงการจึงทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาการทำงาน ทำให้สามารถลดต้นทุน ลดของเหลือทิ้ง และยังสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มรายได้"

อนาคตยังวางแผนการทำงานว่า อยากเปิดเป็น "ศูนย์การเรียนรู้การทำร่ม" ให้ที่นี่กลายเป็นโรงเรียนในโรงงาน สอนลูกหลานแถบอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ให้มีฝีมือในการทำร่มไม้ไผ่ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทย และเพื่อไม่ให้สัญลักษณ์ของ "ร่มบ่อสร้าง" สูญหายไป

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีจากโครงการ iTAP ติดต่อได้ที่ (ส่วนกลาง) โทร. (02) 564-7000 ต่อ โครงการ iTAP, (เครือข่าย สวทช. ภาคเหนือ) โทร. (053) 226-264 หรือที่เว็บไซต์ www.tmc.nstda.or.th/itap


ที่มา  :  เทคโนโลยีชาวบ้าน









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-16 (1296 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©