-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 377 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เกษตรดีเด่น





ย่ำ "สวนเคหเกษตร" ที่ลาดหลุมแก้วบริหารจัดการฉบับ "คนข่าวเกษตร"


มีคำปรามาสเอาไว้ว่านักข่าวสายเกษตรเก่งเฉพาะทำการเกษตรบนแผ่นกระดาษ ไม่เคยประสบความสำเร็จในการปฏิบัติจริง แต่สำหรับ "เปรม ณ สงขลา" บรรณาธิการวารสารเคหการเกษตร สื่อสายเกษตรรุ่นใหญ่ที่คลุกคลีอยู่ในวงการข่าวเกษตรมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ที่วันนี้กลับนำวิชาความรู้และประสบการณ์ที่ได้ในสายงานข่าวมาลงมือปฏิบัติจริงตามแบบฉบับของตัวเอง ควบคู่ไปกับงานข่าว จนประสบความสำเร็จอย่างสูง ภายใต้ชื่อ "สวนเคหการเกษตร" แหล่งเรียนรู้งานด้านเกษตรครบวงจร



 ทีมงาน "ท่องโลกเกษตร" อาทิตย์นี้จะพาไปเยี่ยมชม "สวนเคหการเกษตร" บนเนื้อที่กว่า 70 ไร่ใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ก่อนถึงวัดเจดีย์หอยประมาณ 8 กิโลเมตร ที่เจ้าของสวนได้พยายามเนรมิตงานด้านการเกษตร โดยนำความรู้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรใหม่ๆ ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานสายงานข่าวมาประยุกต์ปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสวนเกษตรครบวงจรเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาดูงานของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง


พื้นที่ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 แปลง แปลงแรกเป็นพื้นที่นาข้าวประมาณ 60 ไร่ แปลงที่สองมีเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ปลูกพืชระยะสั้นและระยะกลาง อาทิ พืชผักสมุนไพร จำพวกมะเขือยาว มะเขือม่วง มะเขือเทศ พริก ถั่วฝักขาว ตะไคร้ ใบมะกรูด มะละกอ ข้าวโพด ฯลฯ และแปลงสุดท้ายเป็นพืชระยะยาว จำพวกไม้ผล มะม่วง ชมพู่ทับทิมจันทร์ มะนาวแป้น สละ ขนุน ฯลฯ พร้อมบ้านหลังน้อยริมสระน้ำที่เจ้าของสวนสร้างไว้สำหรับการพักผ่อนในยามว่างจากภารกิจงานประจำ


"ผมทำสวนตรงนี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว ไม่ได้ทำเพื่อหวังกำไรหรือรายได้เป็นกอบเป็นกำหรอก แต่ทำเพื่อต้องการนำแนวคิดจากที่ได้ไปเรียนรู้เทคนิคทางการเกษตรใหม่ๆ ที่ไปเห็นมาจากสายงานข่าวทั้งในและต่างประเทศมาทดลองทำดู เพราะคนข่าวเกษตรไม่ได้เก่งแต่บนแผ่นกระดาษ แต่สามารถนำความรู้และประสบการณ์จากสายงานมาแปลงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ จะเห็นว่าในสวนผมจะเต็มไปด้วยต้นไม้ต่างๆ หลากหลายสายพันธุ์ ไม้แปลกหายาก พืชบางชนิดก็มีต้นเดียวหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ในพื้นที่สวนมีการแบ่งโซนการปลูกชัดเจน"


เปรม ณ สงขลา เจ้าของสวนเคหการเกษตร พูดถึงความตั้งใจในการทำสวนเกษตรควบคู่ไปกับภารกิจหลักในอาชีพคนข่าวระหว่างนำทีมงานเยี่ยมชมตามจุดต่างๆ ภายในสวน โดยหวังที่จะแปลงข้อเขียนหรือภาคทฤษฎีสู่การปฏิบัติจริงให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะพัฒนาไปเรี่อยๆ จึงไม่แปลกที่สวนเคหการเกษตรจะเปลี่ยนการปลูกพืชบ่อยๆ ไม่จำเจอยู่กับพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเหมือนที่เกษตรกรทั่วไป ยกเว้นพืชระยะยาว โดยให้เหตุผลว่าหากทำเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อคุณภาพของดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


"รายได้จริงๆ มาจากข้าวเป็นหลัก พื้นที่ 60 ไร่ที่ปลูกข้าวจะแบ่งให้เขาเช่าครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็ทำเอง ส่วนอีกสองแปลงจะเน้นการทดลอง นำเทคนิคการเกษตรใหม่ๆ มาทดลองใช้ดู คือเราไปดูที่ไหนเห็นเขาทำก็จะนำมาทดลองทำดูบ้าง ถ้าทำแล้วดี ได้ผลก็จะให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมาดู แล้วนำไปทำดูบ้าง ถ้าไม่ดีก็เลิกเปลี่ยนใหม่ไปเรี่อยๆ จนกว่าจะได้จุดที่ลงตัวที่สุด" เปรมเผย ก่อนจะชี้ให้ดูแปลงพืชระยะสั้นจำพวกพืชผักสวนครัวและสวนมะละกอซึ่งอยู่ในที่เดียวกัน เริ่มจากแปลงมะเขือยาวที่ใช้ต้นตอมะเขือพวง เนื่องจากทนต่อโรคและแมลงและระบบรากดี หาอาหารเก่ง มีอยู่ 3 ร่องเพิ่งปลูกแค่ 2 เดือนเศษ ขณะนี่ให้ผลผลิตแล้ว 


ถัดมาจะเป็นแปลงพริก เป็นสายพันธุ์อินเดีย แปลงมะเขือม่วงและมะเขือเทศราชินี สลับด้วยปอเทืองปลูกเพื่อเติมธาตุอาหารในดิน ก่อนที่จะเริ่มปลูกพืชผักอื่นต่อไป จากนั้นก็จะเป็นสวนมะละกอ โดยขณะนี้จะใช้พันธุ์ฮอลแลนด์ เนื่องจากทนต่อโรคและแมลงได้ดี ขายได้ราคาและมีตลาดรองรับไม่อั้น ซึ่งขณะนี้ราคาส่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 15 บาท น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3-1.5 กิโลกรัมต่อผล


เจ้าของสวนเคหการเกษตรระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยปลูกพันธุ์ขอนแก่น 80 และแขกดำ แต่ก็มีปัญหาเรื่องโรคไวรัสวงแหวนสร้างความเสียหายให้มะละกอเกือบทั้งแปลง จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นพันธุ์ฮอลแลนด์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยแปลงมะละกอที่ให้ผลผลิตในเวลานี้เริ่มปลูกตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยต้นทุนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 300 บาทต่อต้นต่อปี 


"มะละกอประมาณ 2 เดือนครึ่งก็จะเริ่มออกดอกให้ผลผลิตแล้ว อายุประมาณ 3-4 ปีผลผลิตเริ่มน้อย อีกอย่างต้นสูงเกินไปเก็บเกี่ยวลำบาก ก็ต้องโค่นปลูกใหม่ แล้วก็สามารถบังคับให้มีผลผลิตตลอดทั้งปีได้ โดยใช้ระบบการให้น้ำ ซึ่งมะละกอจะอยู่ที่ 40 ลิตรต่อต้นต่อวัน ถ้าฤดูฝนก็จะน้อยกว่านี้ ที่สวนขณะนี้มีมะละกออยู่ประมาณ 100 กว่าต้น เก็บผลผลิตอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 100 กิโล ส่วนพืชผักจะเก็บทุกวัน แต่ถ้าเป็นไม้ผลก็จะออกเป็นฤดู มีมะนาวเท่านั้นที่บังคับให้ออกนอกฤดูได้ ข้อดีคือจะขายได้ราคาแพงกว่าปกติ 2-3 เท่า" เปรมเผยข้อมูลทิ้งท้าย ก่อนนำทีมงานเข้าพักผ่อนอิริยาบถในบ้านพักหลังใหม่ท้ายสวนที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปี


สวนเคหการเกษตร นับเป็นสวนต้นแบบของคนข่าวเกษตร ที่เจ้าของสวนตั้งใจแปลงเกษตรบนแผ่นกระดาษสู่การปฏิบัติจริงเพื่อเป็นแบบอย่างให้เกษตรกรในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง แม้จะเป็นสวนปิด แต่ก็ยินดีสำหรับเกษตรกรหรือผู้สนใจศึกษาดูงานเป็นหมู่คณะติดต่อ 08-1855-8930 เจ้าของสวนยินดีเปิดต้อนรับตลอดเวลา


สุรัตน์ อัตตะ


ที่มา  :  คม ชัด ลึก









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-16 (1631 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©