หน้า: 5/5
ไซโตไคนิน (cytokinins)
ไซโตไคนินเป็นฮอร์โมนของพืชที่พบครั้งแรกในน้ำมะพร้าว โดยสารนี้มีความสามารถกระตุ้นการแบ่งเซลล์ ซึ่งต่อมาพบว่าสารนี้คือ 6-furfuryladenine เป็นสารที่มีสูตรโครงสร้างแบบพูรีน (Purine) จากคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นการแบ่งเซลล์ได้จึงเรียกสารนี้ว่าไคเนติน (Kinetin) หลังจากนั้นก็มีผู้พบสารที่มีสูตรโครงสร้างและคุณสมบัติคล้ายกับไคเนตินอีก หลายชนิด จึงรวมเรียกสารเหล่านี้ว่าไซโตไคนิน ไซโตไคนินที่พบในพืชคือ ซีอะติน (Zeatin) แหล่งสร้างไซโตไคนินในพืชที่อยู่ปลายราก ปมราก และพบทั่วไปในต้นพืช เป็นส่วนประกอบของกรดนิวคลีอิก นอกจากนี้พบในรูปสารอิสระในเอมบริโอและผลที่กำลังเจริญเติบโต ผลของไซโตไคนินกับพืชจะเกิดร่วมกับสารกระตุ้นการทำงาน (co-factor) อื่นๆ ถ้าไม่มีสารเหล่านี้ไซโตไคนินจะไม่แสดงผลกับพืช ในปัจจุบันได้มีการสังเคราะห์ไซโตไคนินขึ้นในห้องปฏิบัติการหลายชนิดและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในทางการเกษตรและทางการค้า ไซโตไคนินเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยในการแบ่งเซลล์และสามารถใช้ชะลอหรือยืด อายุของส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ใบ ดอก และผลให้สดอยู่ได้นาน ตลอดจนมีการนำมาใช้ในสูตรอาหารเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอย่างแพร่หลาย ไซโตไคนินสังเคราะห์ที่สำคัญและนิยมใช้กันมากได้แก่ เบนซิลอะดีนิน (Benzyl aminopurine หรือ BAP) เททระไฮโดรไพรานิล เบนซิลอะดีนิน (Tetrahydropyranyl benzyl adenine หรือ TBA) เป็นต้น ประโยชน์ของไซโตไคนิน ไซ โตไคนินมีคุณสมบัติกระตุ้นการแบ่งเซลล์และการเจริญเปลี่ยนแปลงของเซลล์ การเจริญทางด้านลำต้นของพืช กระตุ้นการเจริญตาข้างทำให้ตาข้างเจริญออกมาเป็นกิ่งได้ ช่วยในการเคลื่อนย้ายอาหารจากรากไปสู่ยอด รักษาระดับการสังเคราะห์โปรตีนให้นานขึ้น ป้องกันคลอโรฟิลล์ให้ถูกทำลายช้าลง ทำให้ใบเขียวอยู่นานและร่วงหล่นช้าลง ช่วยทำให้ใบเลี้ยงคลี่ขยาย ช่วยให้เมล็ดงอกได้ในที่มืด เป็นต้น ซึ่งสามารถแยกออกเป็นหัวข้อได้ ดังนี้
1. ส่งเสริมเซลล์ให้แบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างๆ ของพืช หน้าที่ หลักของไซโตไคนิน คือ ช่วยให้ไซโตพลาสซึมแบ่งตัว ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อถ้าไม่ใส่ไซโตไคนินจะมีการแบ่งตัวของนิวเคลียส เท่านั้น ทำให้ได้เซลล์ที่มีหลายนิวเคลียสหรือพอลิพลอยด์ ในการเลี้ยงเนื้อเยื่อนั้นสัดส่วนของไซโตไคนินและออกซินมีความสำคัญมาก ถ้ามีไซโตไคนินมากกลุ่มเซลล์จะพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่จะแปลงสภาพไปเป็น ส่วนของยอดคือตา ลำต้น และใบ แต่ถ้ามีไซโตคินินต่ำจะเกิดรากมาก ดังนั้นการใช้สัดส่วนของฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้อย่างเหมาะสม กลุ่มเซลล์จะสามารถพัฒนาไปเป็นต้นที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งมีประโยชน์มากในการขยายพันธุ์พืชโดยไม่ต้องอาศัยเมล็ดและงานด้านพันธุ วิศวกรรม
2. กระตุ้นการเจริญของกิ่งแขนง สารไซโตไคนินสามารถกระตุ้นให้ตาข้างของพืชเจริญออกมาเป็นกิ่งได้ จึงมีประโยชน์ในการควบคุมทรงพุ่ม ส่วนใหญ่ใช้กับไม้กระถางประดับ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นตาที่นำไปขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตาให้เจริญออกมาเป็น กิ่งใหม่ได้เร็วขึ้นโดยการทาสารที่ตาซึ่งติดสนิทดีแล้ว จะทำให้ตานั้นเจริญออกมาภายใน 7-14 วัน ภายหลังการใช้สาร ไซโตไคนินที่นิยมใช้ในกรณีนี้คือสาร BAP โดยนำมาผสมกับลาโนลิน (Lanolin) เพื่อให้อยู่ในรูปครีมซึ่งสะดวกต่อการใช้
3. ช่วยชะลอความแก่ของพืช ไซโตไคนิน เฉพาะอย่างยิ่ง BAP สามารถชะลอความแก่ของพืชได้หลายชนิด เช่น ผักกาดหอมห่อ หอมต้น หน่อไม้ฝรั่ง บร็อกโคลี่ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง โดยการพ่นสาร BAP ในความเข้มข้นต่ำๆบริเวณใบพืชเหล่านี้ภายหลังเก็บเกี่ยวหรือจุ่มต้นลงในสารละลาย BAP โดยตรง จะมีผลทำให้ผักเหล่านี้คงความเขียวสดอยู่ได้นาน เป็นการยืดอายุการเก็บรักษาผักเหล่านี้ได้ เชื่อว่าไซโตไคนินชะลอความแก่โดยการรักษาระดับการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอและ โปรตีนให้คงอยู่ได้นาน ตลอดจนช่วยชะลอการสลายตัวของคลอโรฟิลล์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ผสมลงในสารละลายที่ใช้ปักแจเพื่อยืดอายุการปักแจกัน ของ คาร์เนชั่นได้ด้วย
4. ช่วยในการเคลื่อนย้ายอาหาร ไซโตไคนินมีคุณสมบัติช่วยให้การเคลื่อนย้ายสารอาหารจากส่วนอื่นๆ ไปยังส่วนที่ได้รับไซโตไคนินได้และเกิดการสะสมอาหาร ณ บริเวณนั้น ต้วอย่างเช่น ใบอ่อนซึ่งมีไซโตไคนินอยู่มากจะสามารถเคลื่อนย้ายสารอาหารจากใบแก่มาเก็บ สะสมไว้ในใบอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ไซโตไคนินยังช่วยป้องกันไม่ให้คลอโรฟิลล์เสื่อมสลายง่าย ใบพืชที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองถ้าให้ได้รับไซโตไคนินจะทำให้ใบสามารถสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ขึ้นได้อีก
5. กระตุ้นการเกิดดอกและผล โดย ไซโตไคนินสามารถชักนำการออกดอกของพืชวันยาว หรือพืชที่ต้องการอากาศเย็นได้ และยังช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างผลแบบพาร์ทีโนคาร์ปิค ฟรุ๊ท ในพืชบางชนิดได้ แต่อย่างไรก็ตามไซโตไคนินที่นำมาใช้ในแปลงเกษตรยังมีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ใช้ในงานเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
http://www.thanyagroup.com/index.php?tpid=0005 (http://www.thanyagroup.com/index.php?tpid=0005)
ไซโตไคนินไซโตไคนิน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (Cytokinin) เป็นกลุ่มของสารควบคุมการเจริญเติบโตที่เป็นอนุพันธ์ของอะดีนีนโดย มีโซ่ข้างมาเชื่อมต่อกับเบส ที่ตำแหน่ง N6 ไซโตไคนินแบ่งได้เป็นสองชนิดตามชนิดของโซ่ข้างคือ ไอโซพรีนอยด์ ไซโตไคนิน (Isoprenoid cytokinin) มีโซ่ข้างเป็นสารกลุ่มไอโซพรีน กับ อะโรมาติก ไซโตไคนิน (Aromatic cytokinin) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์พืช นอกจากนั้นยังควบคุมกระบวนการที่สำคัญต่างๆในการเจริญและพัฒนาการของพืช การออกฤทธิ์ทางสรีรวิทยา การออกฤทธิ์ทางสรีรวิทยาที่สำคัญของไซโตไคนิน ได้แก่
* ควบคุมการแบ่งเซลล์หรือวัฏจักรของเซลล์ เป็นหน้าที่หลักของไซโตไคนิน
* ควบคุมการเกิดรูปร่าง อัตราส่วนของไซโตไคนินต่อออกซินจะมีผลต่อการพัฒนาของแคลลัส โดยแคลลัสที่ได้รับอัตราส่วนของไซโตไคนินต่อออกซินต่ำ (ออกซินมากกว่าไซโตไคนิน) จะเกิดราก แคลลัสที่ได้รับอัตราส่วนของไซโตไคนินต่อออกซินสูง (ไซโตไคนินมากกว่าออกซิน) จะเกิดตายอด
* สนับสนุนการขยายตัวของเซลล์ ที่เกี่ยวข้องกับการดูดน้ำเข้าไปภายในเซลล์ เพราะไม่ทำให้น้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้น
* สนับสนุนการพัฒนาและการแตกตาข้าง ไซโตไคนินสามารถกระตุ้นให้ตาข้างที่ถูกยับยั้งด้วยตายอดเจริญออกมาได้
* การชลอการชรา ความชราของพืชเกิดจากกระบวนการแก่ตัวของเซลล์ มีการสูญเสียคลอโรฟิลล์ RNA โปรตีน และไขมัน ไซโตไคนินช่วยให้พืชหลายชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ต้นหอม คงความเขียวสดอยู่ได้นาน
* การเกิดปม ปมที่เกิดในพืชเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีการกำหนดพัฒนาและมีลักษณะคล้ายเนื้องอก เกิดจากเชื้อ Agrobacterium tumefaciens
* ทำให้เกิดสีเขียว สนับสนุนการเกิดคลอโรฟิลล์และการเปลี่ยนอีทิโอพลาสต์ไปเป็นคลอโรพลาสต์
* ไซโตไคนินจากปลายรากมีผลต่อการเจริญของลำต้นและราก การตัดรากออกไปจะทำให้การเจริญเติบโตของลำต้นหยุดชะงัก
* การเพิ่มไซโตไคนินจากภายนอกลดขนาดของเนื้อเยื่อเจริญที่ปลายรากลงโดยไม่กระทบต่ออัตราการขยายตัวของเซลล์ภายในเนื้อเยื่อเจริญ แต่ไซโตไคนินปริมาณมากจะมีความจำเป็นในการรักษากิจกรรมของเนื้อเยื่อเจริญ ที่ปลายยอด
* กระตุ้นการออกดอกของพืชวันสั้นบางชนิด เช่นในแหนเป็ด ไซโตไคนินกระตุ้นให้พืชสร้างสารฟลอริเจน (Florigen) ซึ่งชักนำให้พืชออกดอกได้ ไซโตไคนินยังช่วยให้เกิดดอกตัวเมียมากขึ้น
* ทำลายระยะพักตัวของพืช ของเมล็ดพืชหลายชนิดได้ เช่น ผักกาดหอม
http://th.wikipedia.org/wiki/ไซโตไคนิน (http://th.wikipedia.org/wiki/ไซโตไคนิน)
ไซโตไคนิน Cytokynin เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ และการยืดตัวของเซลล์ ผลทางสรีรวิทยาของไซโตไคนินมีดังนี้
1. ส่งเสริมการสร้าง แคลลัส
2. เร่งการแตกตาข้าง
3. ชะลอการชราภาพ (senescence)
4. ช่วยในการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารในพืช
5. ส่งเสริมการสังเคราะห์โปรตีน
6. ชะลอการสูญเสียคลอโรฟิลล์ สารกลุ่มนี้ในธรรมชาติคือ kinetin (น้ำมะพร้าว) zeatin (ข้าวโพด) สารสังเคราะห์ในกลุ่มนี้ คือ benzylaminopurine (BA) ,kenetin ,PBA เป็นต้น [/color]
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=105246 (http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=105246)
หัวข้อ: Re: ระหว่างไซโตไคนิน กับ ไคโตซาน มีคุณสมบัติแตกต่างกันและเหมือนกันอย่างไรบ้างเริ่มหัวข้อโดย : nini ที่ กรกฎาคม 06, 2009, 01:04:09 AM เปรียบเทียบผลของไคโตซานและไซโทโคนิน นักวิทย์น้อยกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชช่วยเกษตรกร การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นเทคนิคด้านการเกษตร ช่วยทำให้ขยายพันธุ์พืชได้รวดเร็ว ได้จำนวนมาก ใช้เวลาและพื้นที่น้อย อีกทั้งพืชยังไม่กลายพันธุ์ด้วย เทคนิคนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มีการนำไปใช้กับพืชชนิดต่างๆ โดยเฉพาะพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และพืชที่ขยายพันธุ์ได้ยาก นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สองคนก็ลงมือทำโครงงานศึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเศรษฐกิจ เพื่อหาทางออกให้เกษตรกรไทย โครงงานแรกมีชื่อว่า “ผลของไคโตซานและไซโทโคนิน ในการชักนำให้เกิดยอดรวมของต้นผีเสื้อพันธุ์ Princess โดยเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช” ของ นางสาว พรสรวง จันทร์ทิพย์ ส่วนอีกโครงงานมีชื่อว่า “อิทธิพลของออกซินและไซโตไคนินต่อการเหนี่ยวนำให้เกิดกระบวนการออร์แก โนเจเนซิสจากแคลลัสผักหวานป่า” ของ นางสาวประภาวีร์ วรกรรณ ทั้งคู่ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จังหวัดสงขลา ต้นผีเสื้อเป็นดอกไม้ที่สวยงามสะดุดตา ต้องการอากาศเย็นมาก แต่การปลูกต้นผีเสื้อนั้นมีเมล็ดงอกได้น้อย เนื่องจากเมล็ดไม่สมบูรณ์ ทำให้ใช้เวลางอกนาน หรือในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมก็จะเกิดการกลายพันธุ์ ทำให้ต้นผีเสื้อมีคุณภาพต่ำ ส่วนไคโตซานเป็นสารธรรมชาติที่นำมาใช้เป็นอาหารเสริม ต้นพืช ทำให้ต้นพืชแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคจากจุลินทรีย์ในดิน และไคโตซานจะไปกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานให้แก่เมล็ดพืชที่จะนำไปขยาย พันธุ์ต่อด้วย นางสาว พรสรวง หรือ “แพร” ทำโครงงานศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลของไคโตซานในความเข้มข้นต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับฮอร์โมนในกลุ่มไซโตไคนิน ได้แก่ BA, KN และ TDZ ในความเข้มข้นต่างๆ กัน เพื่อชักนำการเกิดยอดรวม (multiple shoot) ที่มีความสมบูรณ์ จากนั้นนำไปชักนำรากให้เกิดพืช ต้นใหม่จำนวนมากที่ตรงตามพันธุ์ภายในระยะเวลารวดเร็วในสภาพปลอดเชื้อ ผลการทดลองพบว่าการเพิ่มความเข้มข้นของฮอร์โมนในกลุ่มไซโตไคนินส่ง ผลให้การสร้างยอดรวมลดลง แต่การเพิ่มความเข้มข้นของไคโตซานกลับส่งผลให้การสร้างยอดรวมเพิ่มขึ้น อีกทั้งยอดรวมที่ได้ยังเป็นต้นที่สมบูรณ์ โครงงานนี้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของไคโตซานในการขยายพันธุ์ต้นผีเสื้อได้ตรง ตามสายพันธุ์เดิมและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่วนโครงงานของนางสาว ประภาวีร์ หรือ “มิงค์” นั้น พยายามเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นผักหวานป่า เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ผักหวานป่าขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด แต่เมล็ดนั้นหายาก ใช้เวลานาน และเก็บไว้ปลูกในฤดูกาลต่อไปไม่ได้ มีผู้ทดลองขยายพันธุ์ผักหวานด้วยการตอนกิ่ง ชำ หรือตัดราก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการขยายพันธุ์ผักหวานป่าโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงเป็นอีกแนว ทางหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากเป็นการอนุรักษ์สายพันธุ์ผักหวานป่าซึ่งนับวันจะลดลงเรื่อยๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มปริมาณต้นผักหวานป่าให้มากพอที่จะส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจใน อนาคตได้ด้วย มิงค์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นผักหวานป่าโดยใช้กระบวนการชักนำพืชต้น ใหม่ทางอ้อม ชักนำให้ส่วนลำต้นผักหวานป่าเกิดแคลลัส (แคลลัสเป็นเซลล์พื้นฐาน ยังไม่พัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อใดๆ) แล้วนำแคลลัสที่ได้ไปเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น จากนั้นนำไปชักนำให้เกิดกระบวนการพัฒนาเป็นต้นและราก เพื่อทดลองนำไปปลูกในดินต่อไป แม้จะมีการเติบโตไม่มากนัก แต่โครงงานนี้ก็จุดประกายการขยายพันธุ์ต้นผักหวานป่าด้วยวิธีใหม่ นับเป็นอีกสองโครงงานที่ส่งผลดีโดยตรงถึงเกษตรกร ทั้งยังเป็นการฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้นักวิทย์รุ่นเยาว์ทั้ง สอง ก้าวไปสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหญ่ในอนาคตข้างหน้า
http://update.se-ed.com/257/young-257.shtml (http://update.se-ed.com/257/young-257.shtml)
การผลิตฮอร์โมนพืชใช้เอง ฮอร์โมนพืช คือ สารประกอบที่พืชผลิตขึ้นมาหรือสิ่งมีชีวิตผลิตขึ้นมีผลต่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช เช่น การแตกกิ่ง ใบ เร่งการแตกตาดอก ตาผลและบำรุงผล เราสามารถผลิตขึ้นได้จากการหมักส่วนผสมของพืช รวมกับสาร อีเอ็ม กากน้ำตาล (โมลาสส์) และน้ำ
ส่วนประกอบ
กล้วยน้ำว้าสุก ................................ 1 กิโลกรัม
ฟักทองแก่จัด ..................................1 กิโลกรัม
มะละกอสุก ....................................1 กิโลกรัม
มะเขือเทศ สับละเอียด .......................1 กิโลกรัม
จุลินทรีย์ อีเอ็ม ............................... 10-20 ซีซี (2 ช้อนโต๊ะ)
กากน้ำตาล (โมลาส) ....................... 20-25 ซีซี (3 ช้อนโต๊ะ)
น้ำสะอาด ..................................... 5 ลิตร
วิธีทำ
1. สับกล้วย ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ ทั้งเปลือกและเมล็ด เข้าด้วยกัน จนละเอียด ผสมอีเอ็ม กากน้ำตาล และน้ำ คลุกให้เข้ากันดี
2. บรรจุลงในถังพลาสติก ปิดฝา หมักไว้ 7-10 วัน กรองเอาเฉพาะน้ำหมักใส่ขวดไว้ใช้ ส่วนกากนำไปฝังดินเป็นปุ๋ย น้ำฮอร์โมนพืชเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน
วิธีใช้
1. นำส่วนที่เป็นน้ำ 20 ซีซี (2 ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร ฉีดพ่นหรือรดต้นไม้ช่วงติดดอก จะทำให้ติดดอกและผลได้ดี เพราะมีส่วนประกอบของไซโตไคนินซึ่งเป็นฮอรฺโมนพืชที่ช่วยสร้างตาดอกเร่งการติดดอกผล
2. ส่วนที่เป็นไขมันสีเหลืองในถังหมัก ใช้ทากิ่งตอน กิ่งปักชำ กิ่งทาบ ช่วยให้ติดรากและแตกรากได้มาก เพราะเป็นส่วนที่จุลินทรีย์ในถังหมัก อีเอ็ม สร้าง ออกซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนพืชช่วยเร่งการเจริญเติบโตได้ดีมาก
http://www.yupparaj.ac.th/department/agriculture/technic.htm (http://www.yupparaj.ac.th/department/agriculture/technic.htm)
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.