สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements: IFOAM) ได้ระดมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านเกษตรอินทรีย์โดยตรงจากทั่วโลก เพื่อให้คำนิยามหลักการเกษตรอินทรีย์และนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของสหพันธ์ฯ เมื่อปลายปี พ.ศ. 2548 ซึ่งที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติรับรองหลักการเกษตรอินทรีย์ที่ประกอบด้วยหลักการ 4 ข้อสำคัญ คือ สุขภาพ นิเวศวิทยา ความเป็นธรรม และการดูแลเอาใจใส่
แนวคิดพื้นฐานของเกษตรอินทรีย์
แนวคิดพื้นฐานของเกษตรอินทรีย์ คือ การทำการเกษตรแบบองค์รวม ที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน การรักษาแหล่งน้ำให้สะอาด รวมทั้งการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของฟาร์ม ทั้งนี้ แนวคิดในการทำเกษตรอินทรีย์จะแตกต่างอย่างชัดเจนจากเกษตรแผนใหม่ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตชนิดใดชนิดหนึ่งให้สูงที่สุด โดยการพัฒนาเทคนิคต่างๆ เกี่ยวกับการให้ธาตุอาหารพืช ตลอดจนการป้องกันและกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อผลผลิตของพืชที่ปลูก แนวคิดเช่นนี้เป็นแนวคิดแบบแยกส่วน เพราะแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนฐานการมองว่า การเพาะปลูกไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ดังนั้น การเลือกชนิดและวิธีการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ จึงมุ่งเฉพาะแต่การประเมินประสิทธิผลต่อพืชหลักที่ปลูก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรการเกษตรหรือนิเวศการเกษตร
เนื่องจากเกษตรอินทรีย์เป็นการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับการทำฟาร์มเชิงสร้างสรรค์ ดังนั้น เกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และการบริหารจัดการฟาร์มของตนเพิ่มขึ้นด้วย โดยผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรมีความรู้และเกิดแนวทางการเกษตรที่ตั้งอยู่บนกระบวนการแห่งการเรียนรู้และภูมิปัญญา เพราะเกษตรกรต้องสังเกต ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปบทเรียนเกี่ยวกับการทำการเกษตรของฟาร์มตนเอง ซึ่งจะมีเงื่อนไขทั้งทางกายภาพ เช่น ลักษณะของดิน ภูมิอากาศ และภูมินิเวศ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ เพื่อทำให้เกิดกระบวนการคัดสรรและพัฒนาแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เฉพาะและเหมาะสมกับฟาร์มของตัวเองอย่างแท้จริง
การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ได้ทำเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนเท่านั้น หากแต่ยังสามารถดำเนินการผลิตเพื่อการค้า เนื่องจากครอบครัวของเกษตรกรส่วนใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพา
การจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นรายได้ในการดำรงชีพ ซึ่งผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์นั้น สามารถนำไปจำหน่ายทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศได้
ทั้งนี้ การดำเนินการตลาดในระดับท้องถิ่นอาจมีรูปแบบที่หลากหลายตามแต่เงื่อนไขทางสภาพเศรษฐกิจและสังคมตามแต่ท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ระบบชุมชนสนับสนุนการเกษตร (Community Support Agriculture: CSA) หรือระบบอื่นๆ ที่มีหลักการในลักษณะเดียวกัน ส่วนตลาดที่ห่างไกลออกไปจากผู้ผลิต กระบวนการเกษตรอินทรีย์ได้พยายามพัฒนามาตรฐานการผลิตและระบบการตรวจสอบรับรองที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ว่า "ทุกขั้นตอนของการผลิต แปรรูป และการจัดการนั้นเป็นการทำงานที่พยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ตลอดจนรักษาคุณภาพของผลผลิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด"
แนวโน้มของเกษตรอินทรีย์
จากการสำรวจโดย Foundation Ecology & Agriculture (SOEL) และ Research Institute of Organic Agriculture (FiBL) ในปี พ.ศ. 2549 พบว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 120 ประเทศ ที่มีการผลิตเกษตรอินทรีย์ อนึ่ง พื้นที่เกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับการตรวจสอบรับรองมาตรฐานแล้วมีมากกว่า 196.89 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 0.63% ของพื้นที่การเกษตรทั่วโลก (31,325 ล้านไร่) แต่หากรวมพื้นที่ที่ได้รับการตรวจรับรองว่ามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากธรรมชาติอย่างยั่งยืนเข้าไปด้วย พื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองจะเพิ่มขึ้นเป็น 319.86 ล้านไร่ ทั้งนี้ พื้นที่หลักของเกษตรอินทรีย์อยู่ในประเทศออสเตรเลีย (75.63 ล้านไร่) จีน (21.88 ล้านไร่) และอาร์เจนตินา (17.5 ล้านไร่) (ข้อมูลจาก Willer and Yussefi 2006)
การตลาดเกษตรอินทรีย์ในช่วงที่ผ่านมามีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนหลายฝ่ายต่างเริ่มยอมรับว่า ตลาดเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกกำลังปรับตัวจากตลาดเฉพาะ (niche market) มาเป็นตลาดกระแสหลัก ถึงแม้การขยายการผลิตจะไม่ใช่ตัวชี้วัดถึงขนาดของตลาดได้โดยตรง แต่ก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มและโอกาสทางการตลาดทั่วโลก เพราะการผลิตที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้เองที่เป็นการบ่งบอกว่า ตลาดเกษตรอินทรีย์ก็ต้องมีเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแน่นอน ซึ่งโดยปกติแล้ว การผลิตมักจะปรับตัวได้ช้ากว่าการขยายตัวของตลาด ยิ่งการผลิตขยายตัวเร็วเท่าใดก็แสดงว่ามีความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทานอยู่มาก และปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีอย่างสูงเช่นกัน
การพัฒนานวัตกรรมด้านเกษตรอินทรีย์ของเมธีส่งเสริมนวัตกรรม
นายวิฑูรย์ เรืองเลิศปัญญากุล เลขาธิการมูลนิธิสายใยแผ่นดินและเมธีส่งเสริมนวัตกรรม ได้มีแนวทางในการพัฒนาโครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ด้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้กำหนดกรอบของการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยในเบื้องต้นไว้สองด้าน คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร หรือผู้ประกอบการผู้สนใจการทำเกษตรอินทรีย์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมตลอดจนนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการด้านเกษตรอินทรีย์
ทั้งนี้ หลักคิดที่สำคัญในการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ คือ ต้องมีการพัฒนาให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่มีความยั่งยืน ดังตัวอย่างเช่นโครงการนวัตกรรมการปรับปรุงการผลิต การตลาด และสร้างมาตรฐานส้มโอด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ โครงการศูนย์บริการครบวงจรด้านเกษตรอินทรีย์ และโครงการวิเคราะห์เชิงลึกด้านการผลิตหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การทำเกษตรอินทรีย์สามารถประยุกต์เข้ากับหลักคิด ทั้งแนวความคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง และการผลิตในรูปแบบธุรกิจเพื่อการแข่งขัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการ หากเป็นการผลิตเพื่อการแข่งขันแล้ว การนำนวัตกรรมเข้าไปแทรกแซงจะเป็นการสร้างเพื่อให้เกิดจุดเด่นของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์จากประเทศไทย ซึ่งจะสามารถส่งเสริมให้เกิดตราสินค้าภายใต้คำกล่าวที่ว่า "Think Organic, Think Thailand" ได้ในอนาคตอันใกล้
|