การดูแลรักษา
การใส่ปุ๋ย
เนื่อง จากหม่อนเป็นพืชยืนต้นมีอายุยาวนานและติดดอกออกผลนานหลายสิบปี การบำรุงรักษาโดยวิธีการใส่ปุ๋ยบำรุงดินจึงมีความจำเป็นยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินจะส่งผลกระทบต่อการเจริญ เติบโตของหม่อนทั้งทางตรงและทางอ้อมเพราะนอกจากจะเป็นแหล่งคาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และซัลเฟอร์ สำหรับการเจริญเติบโตของพืชโดยตรงแล้ว ยังมีผลต่อขบวนการทางกายภาพ เคมี และชีวเคมีของดิน ทำให้ดินมีลักษณะโครงสร้างที่ดี และมีกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในดิน ซึ่งมีผลทางอ้อมต่อการเจริญเติบโตของต้นหม่อน ดังนั้นก่อนการปลูกหม่อนขอแนะนำให้นำตัวอย่างดินในแปลงไปตรวจวิเคราะห์หา คุณสมบัติของดิน เพื่อจะได้ทราบว่าดินที่จะใช้ปลูกหม่อนขาดธาตุอาหารใดบ้าง ในปริมาณที่เท่าใดหรือมีธาตุอาหารอื่นใดเพียงพอแล้ว จะได้ไม่ต้องให้เพิ่มลงไปให้เกินความจำเป็นเพื่อเป็นการประยัดและลดต้นทุน การผลิต ก่อนการปลูกหม่อนให้ใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ ตามความจำเป็น จากการวิเคราะห์ความต้องการปูนขาวของดินเพิ่มและปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1,000-2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่รองก้นหลุม จากนั้นจึงใช้หน้าดินกลบหลุมก่อนปลูก และเมื่อเข้าสู่ปลายฤดูฝนให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ รอบๆ ทรงพุ่มของต้นหม่อนอีกครั้ง
หลังจากปีที่ 2 เป็นต้นไป การใส่ปุ๋ยหม่อนเพื่อผลิตผลหม่อนขอแนะนำอัตราการใส่ปุ๋ย ดังนี้ คือ
ครั้งที่ 1 ใส่ปุ๋ยในช่วงต้นฤดูฝน โดยใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000-2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่
ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยในช่วงต้นฤดูหนาวก่อนทำการบังคับทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่
ครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความหวานโดยใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 0-0-60 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ ในระยะที่ผลหม่อนเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูแดง
การให้น้ำ
การให้น้ำหม่อนเพื่อเก็บผลสดมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหม่อนใน ระยะที่หม่อนติดผลเรียบร้อยแล้ว หากต้นหม่อนขาดน้ำในระนะนี้จะทำให้ผลหม่อนฝ่อก่อนที่จะสุก หรือทำให้ผลหม่อนมีขนาดเล็กกว่าปรกติ ส่วนการให้น้ำในระยะอื่นๆ ให้พิจารณาตามความเหมาะสมเมื่อฝนทิ้งช่วงอาจจะต้องให้น้ำเป็นบางครั้ง วิธีการให้น้ำมีหลายวิธี คือ
1. การให้น้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ เป็นวิธีการให้น้ำแบบประหยัดทั้งแรงงานและน้ำ แต่ต้นทุนในการจัดทำระบบน้ำค่อนข้างสูง สามารถให้น้ำได้บ่อยตามความจำเป็น
2. การให้น้ำแบบ รดโคนต้น โดยใช้เครื่องสูบนน้ำจากแหล่งน้ำเข้าสู่แปลงหม่อนโดยตรง รดน้ำตรง รดน้ำตรงบริเวณโคนต้นให้ชุ่ม 10 วันต่อครั้ง
ภาพแสดง ผลหม่อนฝ่อเมื่อขาดน้ำ
การกำจัดวัชพืช
ปัญหา สำคัญอีกอย่างในการปลูกหม่อนรับประทานผล ก็คือวัชพืชในแปลงหม่อนซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลผลิต หม่อน โดยอาจทำให้หม่อนมีผลผลิตลดลงหรืออาจเป็นแหล่งของการหลบซ่อนหรือแหล่งอาหาร ของแมลงศัตรูหม่อน จากการสำรวจพบว่าวัชพืชที่สำคัญในแปลงหม่อนได้แก่ หญ้าตีนกา (Eleusine indica L.) หญ้าตีนติด (Brachiaria reptans L.) หญ้าปากควาย (Dactyloctenium aegyptium L.) หญ้าไทร (Leersia hexandra L.) หญ้าดอกขาว (Rchardia brazilliensis Gomez) หอมห่อป่า (Lindrnia ciliate Pannell) หญ้าขน (Brachina mutica L.) หญ้ายาว (Euphorbia geniculate Orteg.) หญ้าชันอากาศ (Panicum repens) ผักเบี้ยหิน (Trianthema portullacstrum L.) หญ้ารังนก (Chloris barbata SW.) หญ้าข้าวนก (Echinochloa crusgalli L.) หญ้าแพรก (Cynodon dactylon L.) แห้วหมู (Cyperus rotundus L.) ตีนตุ๊กแก (Tridax procumbens L.) ผักเบี้ยใหญ่ (Portulaca oleracea L.) หญ้าแดง (lschaemum bartatum Rotz) ผักโขมหิน (Boechzvia diffusa L.) น้ำนมราชสีห์ (Euphorbia hirta L.) สาบเสือ (Eupatorium edoratum L.) ผักโขม (Amaranthus viridis L.) สาบแร้งสาบกา (Ageratum conyzoides L.) และกก (Cyperus spp.) เป็นต้น การกำจัดวัชพืชอาจกระทำได้หลายวิธีดังนี้ คือ
1. ใช้แรงงานคน
เป็นวิธีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม อาจกำจัดวัชพืชโดยใช้แรงงานคนในการดายหญ้า ให้ทำการดายหญ้ารอบบริเวณโคนต้น รัศมี 1 เมตร ทุก 2 เดือน หรือเมื่อเห็นว่าวัชพืชเกิดขึ้นหนาแน่นพอสมควรแล้ว นอกจากนั้น ควรดายหญ้าหรือหวดหญ้าทิ้งบริเวณพื้นที่ทั้งหมดของแปลงอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง ในครั้งแรกควรทำในช่วงกลางฤดูฝนและครั้ง 2 ในช่วงหลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว
2. ใช้เครื่องทุ่นแรง
การปลูกหม่อนรับประทานผลในระยะ 2.00 x 00 เมตร หรือ 4.00 x 4.00 เมตร สามารถใช้รถไถเดินตาม หรือรถแทรกเตอร์เข้าไปไถพรวนในช่องกลางของแถวต้นหม่อนเพื่อกำจัดวัชพืชได้ วิธีการนี้จะช่วยประหยัดแรงงานได้เป็นอย่างดี และยังช่วยทำให้สภาพของดินโปร่งและร่วนซุยมากขึ้นด้วย ส่วนระยะเวลาในการกำจัดวัชพืชโดยวิธีนี้ ควรไถพรวนปีละ 3 ครั้ง คือ ในช่วง ต้นฤดูฝน กลางฤดูฝน และหลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ส่วนบริเวณโคนต้นหม่อนคงต้องใช้วิธีการดายหญ้าด้วยแรงงานคน
3. ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
เป็น วิธีการที่สะดวกรวดเร็ว และควบคุมวัชพืชเป็นระยะเวลาที่นาน แต่เป็นวิธีการที่ส่งผลการะทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้มากที่สุด หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีการอื่น แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากปัญหาของแรงงานก็ควรใช้ความระมัด ระวัง ซึ่งสารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดวัชพืชมีหลายชนิดแต่ขอแนะนำให้ใช้สารกำจัด วัชพืชดังนี้ คือ ใช้สารกลูฟสิเนท ผสมกับไดยูรอน อัตรา 240 และ 240 กรัมของสรอออกฤทธิ์ ฉีดพ่นวัชพืช 1 ไร่จะสามารถกำจัดวัชพืชหลังงอก (post-emer-gencde) และควบคุมวัชพืชก่อนงอก (pre-emergence) ได้เป็นอย่างดี นาน 3-4 เดือน นอกจากนั้นยังใช้ สารพาราควอท อัตรา 160 กรัมสารออกฤทธิ์ต่อไร่ และสารไกรโฟเสท อัตรา 320 กรัมสารออกฤทธิ์ต่อไร่ ฉีดพ่นวัชพืชในแปลงหม่อนก็สามารถควบคุมวัชพืชได้นาน 3 เดือน
4. ใช้วัชพืชที่มีสารป้องกันวัชพืชคลุมดินในแปลงหม่อน
โดยใช้วัชพืชคือ สาบเสือหรือ กระเพราป่า ตัดมาคลุมบนพื้นดินรอบๆ โคนต้นหม่อนในอัตรา ไม่ต่ำกว่า 1.5 กิโลกรัมสดต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร จะทำให้สามารถควบคุมวัชพืชในแปลงหม่อนกได้นาน 60 วัน อีกทั้งเมื่อวัชพืชเหล่านี้สลายตัวจะมีประโยชน์ในการเป็นปุ๋ยบำรุงดินให้กับ หม่อนอีกทางหนึ่งด้วย
5. ใช้เศษวัสดุต่างๆ
อันได้แก่ เปลือกถั่ว ฟางข้าว ชานอ้อย หรือวัสดุอื่นใดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น แล้วนำมาคลุมดินบริเวณโคนต้นหม่อนให้ห่างจากต้นหม่อนในรัศมีรอบโคนาต้น 1 เมตร จะช่วยควบคุมไม่ให้วัชพืชเกิดขึ้นบริเวณโคนต้นหม่อนได้
การตัดแต่งกิ่งและการดูแลรักษาทรงพุ่ม
การตัดแต่งกิ่งให้ตัดแต่งกิ่งแบบไม้ผล ตัดเฉพาะกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ และเป็นโรคทิ้ง กิ่งที่เกิดขึ้นภายในบริเวณทรงพุ่มห้าตัดแต่งออกไปให้หมดเพื่อให้ทรงพุ่ม เกิดความโปร่งทำให้ไม่เป็นปัญหาในการสะสมโรคและแมลง
www.arda.or.th/kasetinfo/silk/index.php?option=com...1