การปลูกข้าวฟ่าง พันธุ์
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.ข้าวฟ่างลูกผสม
มีลักษณะดีเด่นหลายประการคือ ให้ผลผลิตสูงออกดอกเร็ว อายุเก็บเกี่ยวสั้น ต้นเตี้ยเก็บเกี่ยวได้ง่ายต้านทานโรค-แมลงได้ดี แต่เมล็ดพันธุ์มีราคาแพง และไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในฤดูต่อไป ได้แก่ พันธุ์เคยู 8501 และพันธุ์จากบริษัทเอกชนอีกหลายพันธุ์
2.ข้าวฟ่างพันธุ์แท้
เป็นข้าวฟ่างที่มีความคงตัว คือรุ่นลูกจะมีลักษณะคล้ายรุ่นพ่อ-แม่ ในธรรมชาติแล้ว ข้าวฟ่างจะเป็นพันธุ์แท้เกือบทั้งหมด ข้าวฟ่างพันธุ์แท้ที่ดีให้ผลผลิตสูง ต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี มีทั้งพันธุ์หนักและพันธุ์เบา
พันธุ์ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพด-ข้าวฟ่างแห่งชาติแนะนำทั้งพันธุ์แท้และลูกผสมมีดังนี้
1.พันธุ์อู่ทอง1(ดีเอ 80)
เป็นพันธุ์แท้ เมล็ดสีขาวเป็นมัน เมล็ดค่อนข้างใหญ่ ได้จากการคัดเลือกพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร
ลักษณะเด่น คือ ลำต้นเตี้ย อายุออกดอกและอายุเก็บเกี่ยวสั้นเป็นพันธุ์เบา ช่อค่อนข้างเปิด เมล็ดโต คุณภาพแป้งดี มีปริมาณสารแทนนินต่ำไม่ไวต่อช่วงแสง แต่ไม่เหมาะที่จะปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพราะจะสุกแก่ในช่วงปลายฤดูฝน ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหาย อันเนื่องมาจากโรคราบนช่อข้าวฟ่างได้เมื่อมีความชื้นสูง
2. สุพรรณบุรี 60
เป็นพันธุ์แท้ เมล็ดสีแดง เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ได้
ลักษณะเด่น คือ ลำต้นเตี้ย ออกดอกเร็ว อายุการเก็บเกี่ยวสั้น ช่อรูปทรงกรวยค่อนข้างกลมแต่เปิดบานออก ไม่ไวต่อช่วงแสง
ข้อเสีย คือ ลำต้นหักล้มง่าย
3.เคยู 439
เป็นพันธุ์แท้ เมล็ดสีขาว โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งเสริมให้ปลูกตั้งแต่ พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา
ลักษณะเด่น คือ ลำต้นแข็งแรง ต้านทานต่อโรคทางใบ ให้ผลผลิตสูง ช่อทรงกระบอกค่อนข้างแน่น เมล็ดโต เป็นพันธุ์หนักอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 110 วัน
4.เคยู 630
เป็นพันธุ์แท้ เมล็ดสีแดง เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ได้ โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งเสริมให้ปลูกตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา
ลักษณะเด่น คือ อายุเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 90 วัน ผลผลิตสูง มีลำต้นสูงปานกลาง มีสารเทนนินในเมล็ดต่ำประมาณ 0.16% เมล็ดกระเทาะออกจากรวงได้ง่าย และไม่มีเปลือกติดเมล็ด
5.เคยู 8501
เป็นพันธุ์ลูกผสม เมล็ดสีแดง โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งเสริมได้ปลูกตั้งแต่ พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา
ลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตสูง เมล็ดโต ต้นเตี้ย เป็นพันธุ์หนัก อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 115 วัน การเปรียบเทียบลักษณะของข้าวฟ่างพันธุ์แท้ต่าง ๆ ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติปรากฎดังตารางข้างล่างนี้
พันธุ์
ความสูงต้น
อายุเก็บเกี่ยว
ผลผลิต
สีเมล็ด
(ซม.)
(วัน)
(กก./ไร่)
พันธุ์แท้
|
|
|
|
|
อู่ทอง 1
|
140
|
90
|
700
|
ขาวนวลเป็นมัน
|
สุพรรณ 60
|
160
|
95
|
700
|
แดง
|
เคยู 439
|
165
|
110
|
800
|
ขาว
|
เคยู 630
|
140
|
90
|
750
|
แดง
|
หมายเหตุ
พันธุ์แท้ที่แนะนำทั้งหมดนี้ถึงแม้จะไม่ต้านทานต่อการทำลายของหนอนแมลงวันเจาะยอดข้าวฟ่าง แต่ก็ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เฮการี่ทุกระดับของการทำลาย
6.พันธุ์ข้าวฟ่างลูกผสมของบริษัทเอกชน
ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวฟ่างแดงต้นเตี้ยออกดอกเร็ว และมีอายุเก็บเกี่ยวสั้น ข้าวฟ่างลูกผสมจะมีความแข็งแรงของต้นกล้าดีมากเจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตสูง แต่ไม่สามารถเก็บไว้ปลูกในฤดูถัดไป เพราะจะมีการกลายพันธุ์
ลักษณะของข้าวฟ่างลูกผสมบางพันธุ์ของบริษัทเอกชนที่ทดสอบ ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติ เมื่อเทียบกับพันธุ์เคยู 8501 มีดังนี้
พันธุ์
ความสูงต้น
อายุเก็บเกี่ยว
ผลผลิต
สีเมล็ด
(ซม.)
(วัน)
(กก./ไร่)
พันธุ์ลูกผสม
|
|
|
|
|
แปซิฟิค 80
|
145
|
100
|
800
|
แดง
|
มรกต
|
120
|
100
|
880
|
แดง
|
มงกุฏ
|
130
|
105
|
840
|
แดง
|
ดีเค 54
|
140
|
105
|
1,020
|
แดง
|
ดีเค 59
|
145
|
100
|
900
|
แดง
|
ดีเค 64
|
155
|
105
|
1,010
|
แดง
|
เคยู 8501
|
165
|
115
|
1,070
|
แดง
|
ฤดูปลูก
เกษตรกรนิยมปลูกข้าวฟ่างเป็นพืชรองหลักจากปลูกพืชหลักไปแล้ว โดยทั่วไปจะปลูกข้าวฟ่างในช่วงปลายฤดูฝน (ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) เพื่อให้ข้าวฟ่างสุกแก่และเก็บเกี่ยวในฤดูหนาว ซึ่งมีสภาพอากาศแห้ง ปลอดจากฝน ช่วยให้เมล็ดข้าวฟ่างแห้งดี ไม่มีเชื้อราเข้าทำลายเมล็ดข้าวฟ่าง
การเตรียมดิน
ควรไถดินครั้งแรกด้วยไถผาน 3 ให้ลึก 5-6 นิ้ว ตากดินไว้ 7-10 วัน แล้วจึงพรวนด้วยไถผาน 7 เพื่อย่อยดิน ซึ่งจะช่วยให้ต้นอ่อนข้าวฟ่างงอกพ้นดินได้ง่ายและเจริญเติบโตดี มีวัชพืชรบกวนน้อย
วิธีปลูก ที่เหมาะสมมีหลายวิธี ได้แก่
1. หยอดเป็นหลุม ให้ระยะระหว่างแถวห่างกัน 60 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุมห่างกัน 30 เซนติเมตร หยอด 3 เมล็ด/หลุม
2. โรยเป็นแถว โดยโรยเป็นแถวในร่องที่ลึก 2-3 เซนติเมตร แล้วกลบเมล็ด เมื่อต้นอ่อนอายุ 14-15 วัน ก็ถอนแยกออกให้ระยะระหว่างต้นห่างกัน 10 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 60 เซนติเมตร
3.ปลูกแบบยกร่อง โดยใช้รถไถร่องให้ระยะระหว่างร่องห่างกัน 60 เซนติเมตร หยอดเป็นหลุมหรือโรยเป็นแถว แล้วถอนแยกออกเหมือนหยอดหลุมหรือโรยแถวก็ได้
การใส่ปุ๋ย
ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่ถ้าดินขาดธาตุอาหารอาจจะใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยรองพื้น เช่น สูตร 16-20-0 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ แต่ถ้าต้นข้าวฟ่างยังเจริญเติบโตไม่ดีอาจใส่ปุ๋ยไนโตรเจนพวกแอมโมเนียมซัลเฟต ในอัตรา 30 กิโลกรัม
การป้องกันกำจัดวัชพืช
ใช้แรงงานคนทำรุ่นเมื่อข้าวฟ่าง อายุ 25-30 วัน หรือใช้อาทราซีนฉีดพ่นเพื่อคุมวัชพืช ในอัตรา 400 กรัม/ไร่ หลังจากหยอดเมล็ดและดินยังมีความชื้นอยู่
การดูแลรักษา
เมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่างที่จะใช้ปลูกควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ เพราะเมล็ดจะมีความงอกสูงและมีความสม่ำเสมอ
การกำจัดวัชพืช ควรทำก่อนที่ข้าวฟ่างจะตั้งท้อง และถ้าพืชแสดงอาการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยแต่งหน้าโดยเฉพาะช่วงระยะ 25-30 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ข้าวฟ่างมีการสร้างตาดอก
แมลงศัตรูข้าวฟ่าง
แมลงศัตรูที่สำคัญที่พบระบาดเป็นประจำในฤดูปลูกข้าวฟ่างมีดังนี้
1.หนอนแมลงวันเจาะยอดข้าวฟ่าง
ตัวเต็มวัยมีลักษณะคล้ายแมลงวันบ้าน แต่มีขนาดเล็กและสีอ่อนกว่า ตัวเมียจะวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ ใต้ใบข้าวฟ่าง โดยไข่จะมีสีขาวรูปทรงกระบอก ปลายไข่ทั้ง 2 ข้างเรียวมน ขนาด 0.25 x 1.20 มิลลิเมตร เมื่อหนอนฟักออกจากไข่จะอาศัยกัดกินบริเวณจุดเจริญเติบโตของข้าวฟ่าง ทำให้ข้าวฟ่างแสดงอาการยอดเหี่ยวและไม่ให้ผลผลิต
เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญที่สุดของข้าวฟ่าง ทำลายข้าวฟ่างตั้งแต่เริ่มงอกจนอายุประมาณ 6 สัปดาห์
วัชพืชหลายชนิด เช่น หญ้าตีนนก หญ้าตีนติด หญ้าตีนกา และหญ้าขจรจบ เป็นพืชอาศัยของหนอนชนิดนี้และมีพืชอาศัยอีกหลายชนิด ดังนั้น การเผาตอซังข้าวฟ่างและวัชพืชก่อนปลูกจึงเป็นการลดการทำลายของหนอนชนิดนี้
การป้องกันและกำจัด
1.1 ปลูกข้าวฟ่างพันธุ์แท้ที่แนะนำโดยปลูกแบบเป็นแถวจะให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เฮกการี่ ทั้งในสภาพที่มีและไม่มีการระบาดของหนอนแมลงวันเจาะยอดข้าวฟ่างนี้
1.2 กำหนดวันปลูกข้าวฟ่างในแต่ละท้องถิ่นให้ใกล้เคียงกันเพราะข้าวฟ่างที่ปลูกล่าจะถูกหนอนแมลงรุ่นที่สองทำลายอย่างรุนแรง เพราะแมลงชนิดนี้มีวงจรชีวิตสั้นประมาณ 3 สัปดาห์เท่านั้น
1.3 ควรเผาทำลายตอซังและวัชพืชก่อนปลูกข้าวฟ่าง
1.4 ใช้เมล็ดพันธุ์ให้มากกว่า 2 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อชดเชยความเสียหายโดยถอนต้นที่ถูกทำลายเอาไปเผาทิ้งเมื่อต้นกล้าอายุ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ถอนต้นข้าวฟ่างที่ถูกทำลาย ควรพ่นสารฆ่าแมลงคาร์โบซัลแฟน อัตรา 0.1% ของสารออกฤทธิ์ เมื่อข้าวฟ่างอายุ 1 สัปดาห์ หรือเมื่อมี 4-5 ใบ
1.5 ใช้กับดักปลาป่นไม่สกัดน้ำมัน (อาหารไก่) ดักจับตัวเต็มวัยก่อนฤดูปลูก เพื่อลดปริมาณในฤดูปลูกต่อไป
1.6 ควรปลูกพืชอื่นหมุนเวียนที่มิใช่พืชอาศัยของหนอนแมลงชนิดนี้
2.เพลี้ยอ่อนอ้อย
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของข้าวฟ่างตั้งแต่อายุ 40 วัน จนถึงระยะออกช่อและติดเมล็ดชอบดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณค่อนข้างแก่โดยเฉพาะใต้ใบโคนต้นข้าวฟ่าง
การระบาดจะรุนแรงมากขึ้นถ้าเกิดสภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงทำให้ต้นข้าวฟ่างชะงักการเจริญเติบโต
การป้องกันและกำจัด
ในสภาพแห้งแล้งหรือฝนทิ้งช่วงนานถ้าพบเพลี้ยอ่อนอ้อยระบาดรุนแรงในระยะที่กำลังออกช่อและเริ่มติดเมล็ด ควรใช้สารฆ่าแมลงไตรอะโซฟอส อัตรา 48 กรัม หรือคาร์โบซับแฟน อัตรา 24 กรัม ของเนื้อสารออกฤทธิ์ต่อไร่ อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงครั้งเดียวโดยพ่นบริเวณโคนต้นที่พบการระบาด เพื่อลดค่าใช้จ่ายและหลีกเลี่ยงการทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น ด้วงเต่า
3.หนอนกระทู้คอรวง
จะกัดกินยอดและใบข้าวฟ่างในตอนกลางคืน โดยทำลายข้าวฟ่างอายุตั้งแต่ 1 เดือนถึงระยะออกช่อ ลักษณะใบที่ถูกทำลายคล้ายกับการกัดกินของตั๊กแตนมาก โดยจะพบมูลและหนอนตามยอดและซอกกาบใบ ถ้าระบาดรุนแรงในช่วงข้าวฟ่างจะออกช่อทำให้ผลผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด
การป้องกันกำจัด
ถ้าพบหนอนกระทู้คอรวงทำลายข้าวฟ่างอย่างรุนแรง ตั้งแต่อายุ 40 วัน จนถึงระยะออกช่อ ควรใช้สารฆ่าแมลง อะซินฟอสเมทธิน หรือคาร์บาริล หรือเมทโธมิล ชนิดใดชนิดหนึ่ง ฉีดพ่น
4.หนอนเจาะสมอฝ้าย
จะกัดกินดอกและเมล็ดในช่อข้าวฟ่าง การทำลายจึงมีผลต่อผลผลิตโดยตรง โดยเฉพาะข้าวฟ่างพันธุ์ที่มีช่อรวงใหญ่และแน่นกาบใบชิดช่อรวง เพราะหนอนสามารถใช้เป็นที่อาศัยกัดกินและหลบซ่อนตัวได้หลายตัวช่อมูลของหนอนที่ถ่ายทิ้งไว้ในช่อ เมื่อมีเชื้อราต่าง ๆ มาขึ้น ทำให้คุณภาพของเมล็ดลดลง
การป้องกันกำจัด
1. ควรปลูกข้าวฟ่างพันธุ์ที่ช่อรวงไม่แน่นมากนัก
2. ถ้าพบหนอนจำนวนน้อยควรเก็บทำลาย
3. ถ้าพบหนอนระบาดรุนแรงในช่อข้าวฟ่างที่กำลังเริ่มติดเมล็ดควรใช้สารฆ่าแมลง ไธโอไดคาร์บ อัตรา 90 กรัม หรือเมทโธมิล อัตรา 72 กรัมของสารออกฤทธิ์ พ่นเพียงครั้งเดียวเฉพาะช่อข้าวฟ่างบริเวณที่พบหนอนทำลาย
การเก็บเกี่ยว
เมื่อข้าวฟ่างสุกแก่ เมล็ดจะมีสีเข้มขึ้นแห้งและแข็ง ถ้าใช้แรงงานคนตัด เมื่อตัดเสร็จควรนำไปตากบนลานที่สะอาด ตากไว้จนเมล็ดแห้งแล้วจึงนำไปนวดหรือสี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้เครื่องสีแล้วบรรจุกระสอบส่งไปจำหน่าย
ถ้าจะเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์เองควรตากให้แห้งสนิทแล้วคลุกสารกันราและแมลง แล้วเก็บในภาชนะปิดเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี
ข้อควรระวัง
1. ไม่ควรปลูกพืชอื่นตามหลังข้าวฟ่างทันที เพราะมีผลตกค้างจากข้าวฟ่างทำให้พืชที่ปลูกตามมาไม่เจริญงอกงาม
2. ไม่ควรนำต้นข้าวฟ่างที่มีอายุต่ำกว่า 1 เดือน ไปเลี้ยงสัตว์เพราะมีกรดไฮโดรไซคือ
รายการ
|
เกรด 1
|
เกรด 2
|
ความชื้นไม่เกิน
|
14.5 %
|
15.5 %
|
เมล็ดเสียไม่เกิน
|
3.0 %
|
5.0%
|
เมล็ดมีแมลงทำลายไม่เกิน
|
1.5%
|
1.5%
|
เมล็ดแตกไม่เกิน
|
8.0%
|
12.0%
|
วัตถุอื่นไม่เกิน
|
1.5%
|
2.0%
|
เมล็ดสีอื่นปนไม่เกิน
|
10.0%
|
10.0%
|
|