ละหุ่ง
ละหุ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกับมันสำปะหลัง และยางพารา ซึ่งมีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง คือ มีน้ำยางขาวข้นในลำต้น ละหุ่งมีถิ่นกำเนิดในอัฟริกาตะวันออก และมีการปลูกในอียิปต์เพื่อผลิตน้ำมันละหุ่งมาตั้งแต่เมื่อ 6,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันประเทศบราซิล ไทย และอินเดียเป็นผู้ส่งออกละหุ่งรายใหญ่ของโลก น้ำมันละหุ่ง (castor oil) ได้จากเมล็ดละหุ่ง ซึ่งมีน้ำมันประมาณ 40-50% ในสมัยก่อนจะต้มเมล็ดที่ทุบละเอียดแล้ว จนกระทั่งน้ำมันลอยขึ้นมาจึงช้อนเอาน้ำมันไปใช้ แต่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อต้องการใช้น้ำมันละหุ่งในการผลิตยา จะใช้วิธีบีบอัดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 50C เพื่อไม่ให้โปรตีนไรซิน (ricin) ซึ่งเป็นพิษ ถูกสกัดออกมาด้วย น้ำมันละหุ่งประกอบด้วยกรดริซิโนเลอิก (ricinoleic acid) ใช้เป็นยาระบาย จึงไม่ใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหาร แต่เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอาง เช่น สบู่ ลิปสติก ใช้ทำสีทาบ้าน และน้ำมันหล่อลื่น
ชื่อไทย |
ละหุ่ง |
ชื่อสามัญ |
Castor oil plant |
ชื่อพฤกษศาสตร์ |
Ricinus communis L. |
ชื่อวงศ์ |
EUPHORBIACEAE |
แหล่งกำเนิดและการกระจายพันธุ์ |
อัฟริกาเขตร้อน |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม ดอกแยกเพศร่วมต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียน ใบหยักเป็นพูรูปฝ่ามือ ขอบใบหยักซี่ฟัน มีก้านใบ ช่อดอกออกที่ปลายยอด ช่อแยกแขนง ดอกเพศผู้อยู่ที่บริเวณโคน ดอกเพศเมียอยู่บริเวณปลาย กลีบเลี้ยงหลุดร่วง ก้านเกสรเพศเมีย 3 แยกเป็น 2 แฉก สีแดงเข้ม ผลแห้งแตก รูปไข่ เรียบหรือมีหนาม เมล็ดรูปขอบขนาน 3 เมล็ด
ผลิตผลและผลิตภัณฑ์
น้ำมันละหุ่ง
www.sc.mahidol.ac.th/wiki/doku.php?id=ละหุ่ง -
ละหุ่ง
เป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจพืชหนึ่งของประเทศไทย น้ำมันละหุ่งมีคุณสมบัติที่ดี คือ ไม่แห้งง่าย มีความเหนียว และหนืด ดีกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ จึงมีการนำเข้าน้ำมันละหุ่งไปใช้เป็นส่วนผสมในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น สี หมึกพิมพ์ พลาสติก เครื่องสำอาง น้ำมันหล่อลื่น และจาระบี ประเทศไทย
ส่งออกละหุ่งในรูปน้ำมันและผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้แก่ขี้ผึ้งเทียม และน้ำมันละหุ่งแห้งเร็ว ( Dehydrated castor oil) มีมูลค่าปีละ 300 – 400 ล้านบาทแต่อย่างไรก็ตามน้ำมันละหุ่งที่สกัดได้ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมภายในประเทศทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันละหุ่ง และเมล็ดละหุ่งจากต่างประเทศ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อเนื่องปีละไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท
ปัจจุบันการผลิตละหุ่งของไทยมีแนวโน้มลดลงทุกปีมีทั้งพื้นที่ปลูกและผลผลิต เนื่องจากมีปัญหาด้านการผลิตที่สำคัญคือ พันธุ์ที่เกษตรกรปลูกผลผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ และแมลงศัตรูพืชระบาดรุนแรง ทำให้เกษตรกรไม่นิยมปลูกละหุ่งเป็นแปลงใหญ่ โดยมากจะปลูกตามริมรั้ว หัวไร่ปลายนา จึงขาดการดูแลรักษาที่ดี ทำให้ผลผลิตต่ำการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของละหุ่งโดยมีกระบวนการผลิตที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนและเหมาะสม จึงความปลอดภัยต่อผู้ผลิตและสิ่งแวดล้อมโดยเกษตรกรผู้ปลูกได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าสามารถดำเนินการได้โดยการจัดการที่ดีและเหมาะสมที่เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติได้ ดังนี้
1. การปลูก
1.1 แหล่งปลูก ละหุ่งปลูกได้ดีเกือบทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกละหุ่งที่สำคัญอยู่ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง แหล่งปลูกที่เหมาะสมควรมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
สภาพพื้นที่ เป็นที่ราบ ที่ราบเชิงเขา ที่ดอน ที่มีการระบายน้ำดี ละหุ่งเป็นพืชที่ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง ลักษณะเด่น สามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินเค็มจะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน หรือร่วนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร ระบายน้ำดี และมีความเป็นกรด–ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.0 – 6.5
สภาพภูมิอากาศ ละหุ่งเป็นพืชไม่ชอบร่มเงา อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง25– 35 องศาเซลเซียส ถ้าต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียสอัตราการเจริญเติบโตจะลดลงและถ้าสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสทำให้เปอร์เซ็นต์การผสมติดลดลงและดอกร่วง อุณหภูมิของดินที่เหมาะต่อการงอกและการเจริญเติบโตของต้นอ่อนอยู่ระหว่าง 15-18 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิเกินไปละหุ่งจะงอกช้า
ความต้องการน้ำ ละหุ่งเป็นพืชทนแล้ง จะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ถ้าได้รับน้ำตลอดฤดูปลูกประมาณ 450-800 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับพันธุ์พืชอายุสั้นหรืออายุยาวระยะที่ต้องการน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะแรกของการเจริญเติบโต และระยะออกดอกแต่ถ้าช่วงออกดอกฝนตกต่อเนื่องกันเกิน 5 วัน และความชื้นสูง จะทำให้ช่อดอกผสมไม่ติด และเกิดโรคช่อดอกเน่า
1.2 พันธุ์ละหุ่ง ที่ใช้ส่งเสริมปลูก
พันธุ์อายุสั้น เป็นพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ หรือพันธุ์ที่นำมาปรับปรุงพันธุ์และคัดเลือกในประเทศ อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 – 150 วัน ต้นสูงประมาณ 1 – 2 เมตร ฝักไม่แตกเมื่อแก่ผลผลิตต่อไร่สูง ได้แก่พันธุ์เอช 22 ทีซีโอ 202 อุบลราชธานี 90และทีซีโอ 205
พันธุ์อายุยาว มีลำต้นสูงใหญ่ แตกกิ่งก้านมาก อายุเก็บเกี่ยวช่อแรกประมาณ 150 วันขึ้นไป ฝักแตกง่าย สามารถอยู่ข้ามปีได้ และสามารถไว้ตอและเก็บเกี่ยวได้ถึง 3 ปี ได้แก่ พันธุ์ ลายขาวนวล พันธุ์ทีซีโอ 101
1.3 วิธีการปลูก
ฤดูปลูก การปลูกละหุ่งในระยะเวลาที่เหมะสมจะช่วยให้ปลอดจากศัตรูละหุ่งที่จะมีทำลาย และช่วยให้ผลผลิตสูงซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของพันธุ์ที่ใช้ปลูก
ละหุ่งอายุสั้น มีอายุการเก็บเกี่ยวช่อแรกและช่อแขนงประมาณ 120–150 วัน ฤดูปลูกที่เหมาะสมช่วงปลายเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม
ละหุ่งอายุยาว มีอายุการเก็บเกี่ยว 150 วันขึ้นไป ฤดูปลูกที่เหมาะสมควรปลูกช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม แต่ในบางพื้นที่ที่มีปัญหาฝนตกชุกในช่วงปลายฝน ควรเลื่อนเวลาปลูกมาเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม เพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหาย เนื่องจากฝนตกหนักในช่วงเก็บเกี่ยว
การเตรียมดิน การเตรียมดินที่ดีช่วยให้ละหุ่งเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูงจำนวนครั้งในการไถพรวนขึ้นอยู่กับโครงสร้าง และชนิดของเนื้อดิน รวมความหนาแน่นของวัชพืช
- ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ไถ 1 – 2 ครั้ง
- ดินร่วนเหนียวหรือดินที่มีวัชพืชหนาแน่น ไถ 2 - 3 ครั้ง
การปลูก การปลูกควรปลูกเป็นแถวใช้จอบขุดหลุมลึก 5 เซนติเมตร หยอดหลุมละ 1 เมล็ด และระยะปลูกละหุ่งสามารถแบ่งได้ตามลักษณะพันธุ์ และสภาพแวดล้อม
ละหุ่งพันธุ์อายุสั้น ควรปลูกในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินพอสมควรช่วงปลายฝน
ปลูกละหุ่งแปลงเดี่ยว 1.5 X 1.0 เมตร
ปลูกละหุ่งแซมข้าวโพด ระยะข้าวโพด 2 แถว ละหุ่ง 1 แถว
ปลูกละหุ่งแซมพืชตระกูลถั่ว ระยะถั่ว 4 แถว ละหุ่ง 1 แถว
ละหุ่งพันธุ์อายุยาว ไม่ควรปลูกเป็นแปลงใหญ่เพราะเสี่ยงต่อการระบาดของศัตรูละหุ่ง
ปลูกละหุ่งแปลงเดี่ยว ระยะปลูก 2 X 2 เมตร
ปลูกแซมข้าวโพด ระยะข้าวโพด 4 แถว ละหุ่ง 1 แถว
2. การดูแลรักษา
2.1 การใส่ปุ๋ย ความต้องการปุ๋ยของละหุ่งขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินถึงแม้ว่าละหุ่งจะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินค่อนข้างต่ำการใส่ปุ๋ยจะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น แต่การใส่ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพนั้น ควรพิจารณา จากค่าวิเคราะห์ดินว่าดินขาดธาตุอาหารใดบ้าง และสามารถเลือกใช้ปุ๋ยได้อย่างถูกต้องและไม่สิ้นเปลือง แต่ถ้าไม่สามารถวิเคราะห์ดินได้ให้พิจารณาจากลักษณะเนื้อดิน
เนื้อดิน |
ปริมาณธาตุ
อาหารที่แนะนำ
N – P2o5 – k2o
( กก./ไร่)
|
สูตรปุ๋ยที่ใช้ |
อัตราที่ใช้
(กก./ไร่)
|
วิธีและเวลาใส่ |
ดินทรายดิน
ร่วนปนทราย |
10–10-10 |
15–15–15
8–24–24
ร่วมกับ
21–0–0 หรือ
46–0–0
|
50–60
30–40
20–30
10-15 |
แบ่งใส่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกรองก้นหลุม
ครั้งที่ 2 หลังปลูก 20–25 วัน
รองก้นหลุม
โรยเป็นแถวหลังปลูก 20-25 วัน |
ดินเหนียวสีแดง |
10–10-0 |
20–20-0 |
40-50 |
แบ่งใส่ 2 ครั้ง
ครั้งแรก รองก้นหลุม
ครั้งที่ 2 หลังปลูก 20–25 วัน |
ดินเหนียวสีดำ
และดินร่วนเหนียวสีน้ำตาล |
10–0-0 |
21–0–0 หรือ
46–0–0 |
40–50
20-25 |
ใส่รอบโคนต้นหลังปลูก
20–25 วัน |
2.2 การเด็ดยอดละหุ่ง หลังจากปลูกละหุ่งแล้วประมาณ 7-10 วัน ละหุ่งจะงอกเมื่ออายุได้ 25-30 วัน หลังงอกหรือต้นสูงประมาณ 1 ศอก จะต้องเด็ดยอดละหุ่งเพื่อให้กิ่งก้านแตกมากขึ้น มีหลายช่อต่อต้น ง่ายแก่การดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว แต่ถ้าปลูกละหุ่งล่าไม่ต้องเด็ดยอดเพราะจะทำให้ออกดอกช้าเก็บเกี่ยวช้า ซึ่งอาจไม่ทันต่อการปลูกพืชต้นฝนในฤดูต่อไป
3. การป้องกันกำจัดศัตรูพืช
3.1 โรคที่สำคัญ ของละหุ่งมี 3 ชนิด คือ โรคต้นกล้าเน่า โรคต้นและรากเน่าและโรคราสีเทา
โรค/เชื้อสาเหตุ |
ลักษณะอาการ |
การป้องกันกำจัด |
โรคต้นเน่าหรือเน่าคอดิน
สาเหตุ เชื้อรา
-Sclerotium rolfsii
-Rhizoctonia soloni
ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงและร้อนอบอ้าว |
เข้าทำลายระยะกล้า
ทำให้ต้นเหี่ยวและยืนต้นตาย
มักพบเส้นใยสีขาวของเชื้อรา S. rolfaii
บริเวณโคนต้นถ้าเกิดจากเชื้อรา R. soloni
โคนต้นจะเป็นรอยแผลเน่าคอดสีน้ำตาล |
-ถอนทำลายต้นเป็นโรค
-หลีกเลี่ยงการปลูกในแหล่งที่ระบาดรุนแรง
-คลุกเมล็ดก่อนปลูกด้วยสารแคปแทน ไตรฟอรีนหรือคาร์บอกซิน
อัตรา 25 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม |
โรคต้นเหี่ยวหรือต้นและรากเน่าเชื้อสาเหตุเชื้อรา
Phytophthora parasitica
ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงและร้อนอบอ้าว |
พบระบาดตั้งแต่ระยะกล้าถึงต้นโต ระยะกล้าเป็นแผลฉ่ำใบอ่อน ใบเลี้ยงและลำต้น คล้ายถูกน้ำร้อนลวก ทำให้ต้นละหุ่งยอดเน่าและเหี่ยวแห้งตายระยะต้นโต ใบล่างจะเหลืองซีดแห้งเหี่ยว และทิ้งใบ รากเป็นสีดำ เปลือกล่อน
|
-ถอนทำลายต้นเป็นโรค
-หลีกเลี่ยงปลูกที่น้ำขังหรือแปลงที่เคยมีการระบาดของโรค
-คลุกเมล็ดก่อนปลูกด้วยสารเมทาแล็กซิล อัตรา 7 กรัม/เมล็ด1 กก.
-ฉีดพ่นหรือราดบริเวณโคนต้นด้วยสารเมทาแล็กซิลหรือเบนาแล็กซิล อัตรา 30-40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
|
โรคราสีเทา
เชื้อสาเหตุ Botrytis ricini
ระบาดรุนแรงในสภาพที่อากาศมีความชื้นสูงหมอกลงจัด หรือฝนตกติดต่อกันหลายวัน
|
เชื้อเข้าทำลายตั้งแต่ระยะช่อดอกจนถึงติดผลระยะแรกจะพบหยดสีน้ำตาลเท่าหัวไม้ขีดเกาะอยู่บนช่อดอกหรือหนามของผล จากนั้นเชื้อจะสร้างเส้นใยสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีเทาทำให้ช่อดอกร่วงเมล็ดลีบถ้าเชื้อเข้าทำลายที่ใบทำให้เหี่ยวแห้ง
-เก็บทำลายช่อดอกเป็นโรค
|
-พ่นสารแคบแทนและคาร์เบนชิบอัตรา 15-20 กรัม/20 ลิตร สลับกันสัปดาห์ละครั้งโดยพ่นบริเวณช่อดอกละหุ่ง
|
3.2 แมลงศัตรูที่สำคัญ
การปลูกละหุ่งในสภาพหัวไร่ปลายนา ที่ไม่ได้เป็นแปลงใหญ่ การระบาดของแมลงค่อนข้างน้อย ถ้ามีการปลูกเป็นแปลงจะมีปัญหาการระบาดของแมลงศัตรูพืชที่สำคัญคือหนอนคืบละหุ่งและเพลี้ยจักจั่นซึ่งแต่ละชนิดสามารถทำความเสียหายให้ละหุ่งได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์
แมลงศัตรู |
ลักษณะอาการ |
การป้องกัน |
หนอนคืบละหุ่ง
Acheae Janata L. ระบาดมากในฤดูฝนชุก |
หนอนจะกัดกินใบละหุ่งจนเหลือแต่ก้านใบถ้าระบาดในระยะไม่ออกดอกต้นละหุ่งจะโตช้าแคระแกร็นหากระบาดระยะออกดอกและติดผลอ่อนจะทำให้ผลลีบ ร่วงหล่นเมล็ดในผลลีบ |
หมั่นตรวจแปลง หากพบหนอนคืบมากกว่า 1 ตัว/ใบ ให้ใช้สารฆ่าแมลงจำพวก คาร์บิล อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือไซเพอร์เมทริน อัตรา 10 มิลลิลิตร / น้ำ 20 ลิตร |
เพลี้ยจั๊กจั่น
Jacobiasca formosana ระบาดและทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในฤดูแล้งหรือระยะฝนทิ้งช่วง
|
เข้าทำลายทุกระยะการเจริญเติบโตของละหุ่งเพลี้ยจักจั่นทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใต้ใบละหุ่ง ทำให้ละหุ่งชะงักการเจริญเติบโตใบหดเล็กใบห่อโค้งลงใบเหลืองแดง ร่วงเร็วกว่าปกติถ้าระบาดมากต้นละหุ่งจะตาย |
-ปลูกละหุ่งพันธุ์ที่มีไขจะต้านทานต่อการทำลายของเพลี้ย
-ถ้าพบเพลี้ยจั๊กจั่น 10 ตัว/ใบ ให้ใช้สารสะเดา 7 – 10 % w/N หรือสารพวกคาร์บา
ริล อัตรา 40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร
|
3.3 การกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นปัญหาที่สำคัญที่มีผลต่อผลผลิตของละหุ่ง การปล่อยให้วัชพืชแข่งขันกับละหุ่งตลอดช่วงอายุ จะทำให้ผลผลิตละหุ่งลดลง 30-60 เปอร์เซ็นต์ การจำกัดวัชพืชอาจใช้แรงงานคน สัตว์ เครื่องไถพรวนขนาดเล็ก สารเคมี หรือใช้หลายวิธีควบคู่กันไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและชนิดของวัชพืช
ใช้แรงงาน ควรกำจัดครั้งแรกเมื่อละหุ่งอายุ 2 – 3 สัปดาห์หลังงอกครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นละหุ่งจะเจริญเติบโตจนคลุมพื้นที่ได้หมด
ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำแนะนำ
สารคุมวัชพืชก่อนงอก ได้แก่ เมโทรลาคอร์ อลาคลอร์
สารคุมวัชพืชหลังงอก ได้แก่ พาราควอต แต่ต้องระวังในการฉีดพ่น ต้องระวังไม่ให้ละอองปลิวไปถูกละหุ่งห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชพวกอาทราซีนกับละหุ่งโดยเด็ดขาด
4. การเก็บเกี่ยว และวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
4.1 การเก็บเกี่ยว ละหุ่งที่เก็บเกี่ยวได้สังเกตจากช่อแห้งประมาณครึ่งช่อ สำหรับละหุ่งพันธุ์พื้นเมือง เช่น พันธุ์ลายขาวนวล เพราะ ถ้าปล่อยให้แห้งทั้งช่อเมล็ดจะร่วงแต่พันธุ์ส่งเสริมพันธุ์ อื่น เช่น ทีซีโอ 101 ทีซีโอ 202 เอช 22 อุบล 90 สมารถปล่อยให้ผลแก่ทั้งช่อได้ การเก็บเกี่ยวทำโดยตัดช่อของละหุ่งทีละช่อ ให้แห้ง ( 2-3 แดด) รูดก้านออก นำฝักละหุ่งมากะเทาะด้วยมือหรือเครื่องกะเทาะละหุ่ง ได้เมล็ดเก็บบรรจุกระสอบไว้รอจำหน่ายต่อไป
4.2 การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ ละหุ่งส่วนใหญ่จะเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไปได้ยกเว้นพันธุ์ลูกผสม เช่น พันธุ์เอช 22 เมล็ดพันธุ์ละหุ่งจะเก็บรักษาง่ายและเก็บได้นาน ไม่มีปัญหา เรื่องโรคและแมลงในโรงงานเก็บ เพราะมีเปลือกหนา เพียงแต่ลดความชื้นของเมล็ดให้ต่ำลงประมาณ 5-8 เปอร์เซ็นต์ และเป็นเมล็ดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เปลือกของเมล็ดไม่แตกหัก ภาชนะที่เก็บรักษาเมล็ดละหุ่งใช้ได้ทั้งกระสอบป่าน ถุงใยพลาสติก ปิ๊บ ( เก็บรักษาในภาชนะปิดจะรักษาคุณภาพเมล็ดได้ดีกว่าในภาชนะเปิด ) โดยวางบนแผ่นไม้ยกสูงจากพื้นเล็กน้อยในสภาพโรงเก็บที่โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดีหากเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์และแห้งสามารถเก็บรักษาได้นานกว่า 1 ปี
www.doae.go.th/library/html/detail/lahung/index.htm
ละหุ่งลูกผสมข้ามสกุลชั่วที่ 1 พันธุ์พิชัย 1
แหล่งที่มาและประวัติของพันธุ์
ละหุ่งลูกผสมข้ามสกุลชั่วที่ 1 (intergeneric F1 hybrid) เป็นการผสมข้ามสกุลระหว่างละหุ่ง (Ricinus communis) พันธุ์ต้นนวลเป็นพันธุ์พื้นเมือง ต้นสีแดง ซึ่งอยู่ในสกุล Ricinus วงศ์ Euphorbiaceae เป็นต้นแม่ (female parent) กับสบู่ดำ (Jatropha curcas L.) พันธุ์ไม่มีชื่อ ซึ่งอยู่ในสกุล Jatropha (Subg. curcas) วงศ์ Euphorbiaceae เป็นต้นพ่อ (male parent) โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำ รวมทั้งการสร้างความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetic diversity) เพื่อใช้เป็นเชื้อพันธุ์ (germ plasm) สำหรับการปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำต่อไป
2. เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าละหุ่งกับสบู่ดำซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Euphorbiaceae ด้วยกัน แต่ต่างสกุล (Genus) กัน สามารถจะผสมกันได้ด้วยวิธีธรรมดา การผสมสลับพ่อแม่ (reciprocal cross) จะได้ลูกผสมชั่วที่ 1 ที่มีลักษณะทางฟีโนไทป์ (phenotype) แสดงออกไปทางต้นแม่เสมอ
3. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ในการที่จะใช้ละหุ่งผสมกับสบู่ดำในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ละหุ่งเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 (F1 hybrid seeds) ในเชิงธุรกิจต่อไป
วิธีดำเนินการ
1) การอีแมสคิวเลชั่น (emasculation) ดอกละหุ่งต้องทำด้วยความรอบครอบเพราะดอกเพศผู้ละหุ่ง มิใช่แต่จะอยู่เฉพาะส่วนล่างของดอกเท่านั้น แต่ยังอยู่กระจัดกระจายในช่อดอก ตัดดอกเพศผู้ทั้ง หมดออกจากช่อดอก (inflorescence) การแยกดอกเพศผู้ออกจากดอกเพศเมียด้วยสายตาสามารถกระทำได้อย่างถูกต้อง (อาศัยความเข้าใจและประสบการณ์) อีแมสคิวเลชั่น ควรทำก่อนดอกบาน 2-3 วัน ทำการห่อดอกเพศเมียที่ผ่านการอีแมสคิวเลชั่นแล้ว เพื่อป้องกันการผสมเรณูจากพาหะถ่ายเรณู (pollinators)
2) การเตรียมละอองเรณู (pollen grains) ในดอกสบู่ดำเพศผู้ทำการเก็บละอองเรณู เมื่ออับเรณู (anther) บานเต็มที่และปลดปล่อยละอองเรณู อาจตัดช่อดอกที่มีดอกบานมาตากแดดในช่วงเช้าไว้สัก 5-10 นาที แสงแดดจะช่วยในการปลดปล่อยละอองเรณู
3) การถ่ายเรณู (pollination) อาจใช้เข็มเขี่ย พู่กัน เป็นตัวพาละอองเรณูไปแตะที่ยอดเกสรตัวเมีย (stigma) หรือใช้ปากคีบจับดอกที่บานไปแตะที่ยอดเกสรเพศเมีย ก็แล้วแต่ความถนัดของนักผสมพันธุ์พืช อย่างไรก็ตามการถ่ายเรณูควรกระทำเมื่อยอดเกสรเพศเมียพร้อมจะรับละอองเรณู (receptive)
4) ปฏิบัติการหลังการถ่ายเรณู ห่อหุ้มดอกที่ได้รับการถ่ายละอองเรณูแล้วให้ปลอดจากพาหะถ่ายละอองเรณู (pollinators) 2
ติดป้ายแสดงวันผสมพันธุ์ รอจนเมล็ดแก่จึงทำการเก็บเกี่ยว ตากแดดเมล็ดไว้สัก 3-4 วัน จึงทำการเพาะ เมล็ดจะงอกภายใน 10-15 วัน หลังเมล็ดงอกเลี้ยงต้นกล้าให้แข็งแรง จึงทำการย้ายปลูกเพื่อศึกษาลูกผสมชั่วที่ 1 ต่อไป
ผลการดำเนินการ
การทดลองครั้งนี้พบว่า ละหุ่ง (พันธุ์ต้นนวล พันธุ์พื้นเมือง ต้นสีแดง) x สบู่ดำ (พันธุ์ไม่ทราบชื่อ) ได้ละหุ่งลูกผสมข้ามสกุลชั่วที่1 ที่มีลักษณะ Hybrid Vigor และมีลักษณะทางสัณฐานวิทยา (morphology) หรือฟีโนไทป์ (phenotype) เอนเอียงไปทางต้นแม่ (ละหุ่ง) ทั้งหมด ไม่ปรากฏลักษณะสบู่ดำ(ต้นพ่อ)ให้เห็น
โดยที่ละหุ่งลูกผสมข้ามสกุลชั่วที่1 พันธุ์พิชัย1 เป็นพันธุ์พืชใหม่ที่มีความใกล้ชิดพันธุ์แม่มาก จนไม่สามารถพบความแตกต่างของลักษณะภายนอก(morphological markers)ได้ จำเป็นต้องใช้การตรวจสอบความบริสุทธิ์ที่มุ่งเน้นลักษณะทางพันธุกรรม(genetic markers) โดยใช้วิธีการตรวจสอบ ดี เอ็น เอ ด้วยเทคนิคและวิธีการ RAPD โดยใช้ชิ้นส่วนของใบพืชในปริมาณต่ำ เพื่อนำมาสกัด ดี เอ็น เอ และทำปฏิกิริยาเพิ่มสารพันธุกรรม แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีอีเล็คโตรโฟเรซิส(Electrophoresis) ทำการวิเคาระห์ความสัมพันธุ์ทางพันธุกรรม(coefficient similarity)โดยบันทึกข้อมูลความเหมือนหรือไม่เหมือนของแบนด์(band)
อนึ่งการทดลองในครั้งนี้ได้ผลแตกต่างจากการทดลองครั้งแรกซึ่งใช้สบู่ดำ(พันธุ์อินเดีย) เป็นต้นแม่ผสมกับละหุ่ง(พันธุ์ลายขาวดำ พันธุ์พื้นเมือง ต้นสีเขียว) เป็นต้นพ่อ ได้สบู่ดำลูกผสมข้ามสกุล ชั่วที่1 พันธุ์พิชัย-วัฒนา1 ที่มีลักษณะเอนเอียงไปทางสบู่ดำ(ต้นแม่) และไม่ปรากฎลักษณะละหุ่ง(ต้นพ่อ)ให้เห็น (รายงานการขอขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ เสนอต่อกรมวิชาการเกษตร, 2551)
เมื่อเปรียบเทียบผลการผสมพันธุ์พืชในทั้ง 2 กรณีจะเห็นได้ว่า
สบู่ดำ X ละหุ่ง สบู่ดำลูกผสมข้ามสกุล ชั่วที่ 1 .......................................
ละหุ่ง X สบู่ดำ ละหุ่งลูกผสมข้ามสกุล ชั่วที่ 1 .......................................
ทั้ง 2 กรณีให้ผลต่างกันเพราะเป็นการผสมสลับคู่ (reciprocal cross)
การเรียกชื่อลูกผสมให้เหมาะสม ควรเรียกไปตามลักษณะทางฟีโนไทป์ที่แสดงออกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
จริงอยู่ถึงแม้งานนี้จะอยู่ในโครงการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำก็ตามแต่เมื่อมีละหุ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยและ มีการผสมข้ามสกุล (ซึ่งพืชมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ห่างไกลกันมาก) เมื่อมีการผสมกันได้ (ซึ่งเกิดได้ยากในธรรมชาติและไม่ปรากฏรายงานในที่ใด ยกเว้นในกล้วยไม้) อนึ่งลักษณะทางฟีโนไทป์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจเกิดขึ้นได้สุดแท้แต่ว่าลูกผสมมีความใกล้ชิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากโดยไม่จำเป็นต้อง3
เกิดทั้ง 2 ลักษณะในเวลาเดียวกัน จากผลการผสมพันธุ์ระหว่างละหุ่ง X สบู่ดำ ได้ลูกผสมชั่วที่1 ที่มี Hybrid Vigor ที่น่าสนใจและไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำให้มีศักยภาพว่างานนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สบู่ดำแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ละหุ่งอีกด้วย ซึ่งผลงานนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ละหุ่งในอนาคต
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่มยืนต้น ลำต้นมีตั้งแต่สีแดงนวล (มีไขสอง) สีน้ำตาลปนแดงไปจนกระทั่งสีแดงอ่อน ไม่มีไข สูง 4-5 เมตร ความกว้างทรงพุ่ม 2-3 เมตร มีกิ่งแขนง 7-20 กิ่ง มีต่อมน้ำต้อย (extra nectaries) ปรากฏที่โคน ส่วนโคนของก้านใบ ขอบใบ ก้านใบของหูใบ โคนแผ่นใบ โคนของใบประดับ (bracts)
แผ่นใบ โดยทั่วไปมีขนาดใหญ่กว่าต้นแม่ บางทีก็ใหญ่กว่าต้นแม่มาก แผ่นใบแยกเป็นแฉกแบบนิ้วมือ (palmatifid) 9-11 แฉก (lobes) แต่ละแฉกมีทั้งเรียวรูปใบหอกแกมรูปไข่ (ovate – lanceolate) ถึงรูปใบหอก (lanceolate) ขอบใบเป็นหยักซี่ฟัน(dentate) ปลายใบแหลม (acute) เส้นใบรูปฝ่ามือ (palmately veined)
หูใบ (stipules) รูปสามเหลี่ยม สมมาตร (symmetric) เส้นใบขนาน (paralled nerved) หรือไม่มีโดยเฉพาะเมื่อยังอ่อนหูใบหุ้มใบอ่อน
ช่อดอก (inflorescence) ออกบริเวณปลายยอด (terminal inflorescence) เป็นแบบช่อกระจะ (raceme) หรือช่อแยกแขนง (panicle) ส่วนบนของช่อดอกเป็นดอกเพศเมีย (pistillate) และส่วนล่างของช่อดอกเป็นดอกเพศผู้ (staminate) ดอกเพศผู้ยังปรากฎอยู่ทั่วไปในสวนบนของช่อดอก
ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงสีเขียวใบไม้ถึงสีแดง จำนวน 5 กลีบ ไม่มีกลีบดอก รังไข่ (ovaries) มีหนาม (achinate) ด้านนอกสั้นหรือยาวและบางทีน้อยกว่าต้นแม่ (สังเกตจากส่วนที่ว่าง) ตรงปลายผลเมื่อยังอ่อนมีส่วนยาวคล้ายหนวดแมลง (papillae) สีแสด-แดงสดใส
ผล (fruits) เมื่อยังอ่อนมีผนังชั้นนอกสีเขียวใบไม้เป็นมันเงา เมื่อแก่มีสีน้ำตาลหรือเทา เมื่อแห้งจะแตก (dehiscing) และบางทีจะแยกออกจากผนังผลชั้นกลาง (mesocarp) และชั้นใน (endocarp) ผนังผลชั้นกลางและชั้นในจะเป็นเนื้อไม้ (woody) ผลมี 3 ช่อง (carpels) เมื่อแห้งจะแยกเป็น 3 ส่วน มีเมล็ดอยู่ภายใน
เมล็ด (seeds) ลักษณะแข็งเป็นเลื่อมมันเงา(marbled) สีน้ำตาลสลับขาว 4
ข้อสังเกตเบื้องต้น
ลักษณะความแข็งแรงเหนือพ่อแม่ (Hybrid Vigor) เปรียบเทียบลูกผสม (ละหุ่ง) กับต้นแม่ (ละหุ่ง)
(1) ลักษณะทั่วไป