หน้า: 2/3
ลำดับเรื่อง...
13. การปลูกอ้อยน้ำตม : ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย
14. "วังขนาย" ปรับแผนผลิตน้ำตาลธรรมชาติ คาด 3 ปี เข็นน้ำตาลปลอดสารเคมีออกขาย
15. ปลูกอ้อยอินทรีย์ ระบบน้ำหยด เทคนิคเพิ่มผลผลิต ของ บุญสืบ กันศิริ จ.สุพรรณบุรี
16."อ้อยโคลน” อาหารสัตว์พันธุ์แรก เพื่อเกษตรกรเลี้ยงโค-แพะ-แกะ
17. การแก้ปัญหาการเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องสางใบอ้อย
18. วิธีการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่
19. การปลูกอ้อย โดย นายเกษม สุขสถาน
20. การปลูกอ้อย
21. รู้มั้ยเผาอ้อย ส่งผลเสีย มากกว่าที่คิด
22. เทคโนโลยีการผลิตอ้อย
23. บทพิสูจน์ความจริงทางธรรมชาติของพืชไร่อย่างอ้อย
****************************************************************************
13. การปลูกอ้อยน้ำตม : ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย
ผลผลิตอ้อยและน้ำตาล
ปี 2542 มีอ้อยเข้าหีบทั้งประเทศ ประมาณ 50 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ประมาณ 18.6% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอ้อยหีบมากที่สุด ทำให้มีโรงงานน้ำตาลจากภาคอื่น มาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้นมาก รองมาคือภาคกลาง และการผลิตน้ำตาลทรายได้ทั้งสิ้น 5.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ประมาณ 26.9% และผลิตกากน้ำตาลได้ 2.37 ล้านตัน ราคาอ้อยขึ้นตัน ปีการผลิตปี 2542 ณ ที่ความหวาน 10 CCS ตันละ 500 บาท รัฐช่วยเงินจัดสรรคอีก 100 รวม เป็นตันละ 600 บาท แต่เมื่อปลายปีเหลืองเพียงตันละ 480 บาท แต่ในปี 2543 ประกาศราคาขั้นตัน ณ ความหวานที่ 10 CCS เพียงตันละ 450 บาท
พื้นที่ปลูกอ้อย
ที่อยู่ในเขตชลประทานมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านไร่ คิดเป็นประมาณ 20% ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ แต่ผลผลิตเฉลี่ยของอ้อยในเขตชลประทานยังต่ำอยู่คือ 8.6 ตันต่อไร่เท่านั้น ซึ่งสูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยของอ้อยในเขตอาศัยน้ำฝน (6.7 ตัน/ไร่) ผลผลิตเฉลี่ยของอ้อยในเขตชลประทานน่าจะสูงกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะในภาคกลาง ซึ่งดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงกว่าภาคอื่น
เขตกรรม
พบว่าการปลูกระยะระหว่างแถวต่างๆ กัน ไม่มีผลต่อผลผลิตอ้อยแต่อย่างได้คือ ระหว่าง 11.4-12.3 ตัน/ไร่ แต่พบว่า อ้อยพันธุ์อู่ทอง 1 และอู่ทอง 3 ให้ผลผลิตสูงกว่าอู่ทอง 2 ผลจากการทดลอง 3 ปี จากอ้อยปลูกจึงถึงอ้อยตอ 2 สรุปได้ว่า การเปลี่ยนระยะปลูกจากเดิม 1.36 เมตร เป็น 1.00 เมตร คือการปลูกเป็นแถวคู่ก็สามารถช่วยให้ผลผลิตอ้อยสูงขึ้น
การเพิ่มผลผลิตอ้อย
โดยการเพิ่มจำนวนประชากรอ้อยต่อพื้นที่ที่ระยะแถวต่างกัน พบว่า การปลูกอ้อยแถวแคบที่ระยะแถว 75 ซม. ได้ผลผลิตอ้อยสูงสุด (21.7 ตัน/ไร่) รองลงไปคือ ระยะแถว 100 ซม. (18.8 ตัน/ไร่) ระยะแถว 125 ซม. (17.9 ตัน/ไร่) ระยะแถว 150 ซม. (16.7 ตัน/ไร่) ส่วนระยะปลูกเดิมได้ผลผลิตต่ำสุด (16.3 ตัน/ไร่) ปฐพีวิทยา พบว่า ปุ๋ยอัตรา 24-12-12 (N2-P2O5-K2O กก./ไร่ ทำให้อ้อยมีผลผลิตสูงสุด โดยเฉพาะพันธุ์อู่ทอง3 ให้ผลผลิตสูงสุด ถึง 19.40 ตัน/ไร่ ขณะที่ไม่ใส่ปุ๋ยเลยได้ผลผลิตเพียง 10.34 ตัน/ไร่
อิทธิพลวัชพืชที่มีต่อการเจริญเติบโตของอ้อย
พบว่า อ้อยที่ไม่มีการควบคุมวัชพืช จะมีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตน้อยกว่าอ้อยที่มีการควบคุมวัชพืชอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอ้อยที่มีการควบคุมวัชพืชในช่วง 45-180 วัน หลังปลูกอ้อย ได้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน แต่อ้อยที่มีการควบคุมวัชพืชหลังปลูกอ้อย 45 วัน จะมีค่าความ (CCS) สูงกว่าอ้อยที่มีการควบคุมวัชพืชในช่วง 90-180 วัน
เวลาที่เหมาะสมของการใช้สารกำจัดวัชพืช
ชนิดต่างๆ หวังปลูกอ้อยและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ พบว่า การใช้สารกำจัดวัชพืชหลังจากให้น้ำครั้งที่ 1 จะควบคุมวัชพืชประเภทในแถบได้ดีกว่าการใช้หลังการให้น้ำครั้งที่ 2 แต่การใช้สารกำจัดวัชพืชหลังการให้น้ำครั้งที่ 2 จะควบคุมแห้วหมูได้ดีกว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชหลังการให้น้ำครั้งที่ 1 จะควบคุมวัชพืชในแคบได้ดีกว่า การใช้หลังให้น้ำครั้งที่ 2 จะควบคุมแห้วหมูได้ดีกว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชหลังการใช้น้ำครั้งที่ 1 และจากการวิเคราะห์ผลตอบแทนเชิงเศรษฐศาสตร์แล้วสรุปได้ว่า การใช้ Clmetryn ควบคุมวัชพืชควรใช้หลังการให้น้ำครั้งที่ 2 ส่วนการใช้ atrazine metribuzine /2,4-D hexazinone/diuron , imazapic pendimethalin ควรใช้ให้หลังให้น้ำครั้งที่ 1 การพัฒนาอ้อยในระบบเกษตรยั่งยืน
ด้านปฐพีวิทยา :
ผลการทดลอง พบว่า ระยะสั้นการไถพรวนปกติ ทำให้อ้อยปลูกได้ผลผลิตสูงสุด แต่ในระยะยาว การลดการไถพรวนจะส่งผลดีกว่า โดยทำให้อ้อยตอยังคงรักษาผลผลิตไว้ได้ไม่ลดต่ำลง และมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณสมบัติของดินดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลผลิตของอ้อยในสภาพไถพรวนปกติ และลดการไถพรวนไม่แตกต่างกันทางสถิติ
การใช้สารทำลายดินดาน การไถพรวนกลบปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยพืชสด
เพื่อเพิ่มผลผลิตของอ้อย โดยไถกลบพืชตระกูลถั่ว (เช่น ปอเทือง โสนแอฟริกัน) การใช้สารเคมีแอมโมเนียมลอเร็ทซัลเฟต การใช้ปุ๋ยมูลไก่อัดเม็ด และหินฟอสเฟต รองก้นหลุมก่อนปลูกอ้อย พบว่า การใช้ปุ๋ยพืชสดช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยได้ดีกว่าวัสดุอย่างอื่น
การใช้พืชตระกูลถั่ว
เพื่อปรับปรุงดินในไร่อ้อยของเกษตรกร อ้อยตอ 2 จากผลการทดลองที่ผ่านมา พบว่า การไถกลบพืชตระกูลถั่วก่อนปลูกอ้อยสามารถเพิ่มผลผลิตอ้อยได้ ทั้งอ้อยปลูกและอ้อยตอ 1
การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนละลายน้ำ N – Slow releass
พบว่า ปุ๋ยไนโตรเจนละลายช้าช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยให้สูงขึ้น ต่างจากแปลงที่ไม่ใส่ปุ๋ยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่แตกต่างจากปุ๋ยเคมี 25-7-7 ซึ่งเป็นปุ๋ยที่เกษตรกรนิยมใช้กับไร่อ้อยมาก
การใช้จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนในอ้อย
อ้อยตอ 1 : พบว่า วิธีการใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 20 กก.(N) /ไร่ ให้ผลผลิตอ้อยสูงสุด แต่ไม่แตกต่างทางสถิติกับวิธีการที่ใช้และไม่ใช้จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน
|
อัครินทร์ ท้วมขำ
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5
กรมวิชาการเกษตร
สิงหาคม 2547
|
|
|
|
|
|
14."วังขนาย" ปรับแผนผลิตน้ำตาลธรรมชาติ
คาด 3 ปี เข็นน้ำตาลปลอดสารเคมีออกขาย
กลุ่มน้ำตาลวังขนาย ปรับแผนธุรกิจ เบนเป้าหมายมุ่งผลิตน้ำตาลธรรมชาติ (ORGANIC SUGAR) หลังกระแสตลาดตอบรับสูง วางเป้าเป็นผู้ผลิตนำร่องในอุตสาหกรรม ชูแผนขยายพื้นที่ส่งเสริมให้ครอบคลุมทั้ง 4 โรงงานในเครือทั่วประเทศ มั่นใจภายใน 3 ปีมีผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติบริสุทธิ์ 100% ออกจำหน่าย ชี้กระแสตลาดตอบรับสูง ล่าสุดน้ำตาลธรรมชาติเกรดทั่วไปมีสัดส่วนยอดขายถึง 50%
นายบุญญฤทธิ์ ณ วังขนาย ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัทน้ำตาลวังขนาย ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ในประเทศ เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ถึงทิศทางการผลิตน้ำตาลทรายว่า กลุ่มน้ำตาลวังขนาย จะให้ความสำคัญกับไลน์การผลิตน้ำตาลธรรมชาติ (OGANIC SUGAR) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก กระแสตลาดตอบรับผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติ ขยายตัวเร็วมาก
ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติ แบ่งเกรดคุณภาพได้ 2 ระดับ คือระดับเพียว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใช้เคมีภัณฑ์ในวัตถุดิบที่ใช้ผลิต อาทิ ปุ๋ยบำรุงอ้อย ยาปราบศัตรูพืช สารเร่งการเติบโต ฯลฯ ขณะที่อีกระดับเป็นผลิตภัณฑ์ทั่วไป ยอมให้ใช้เคมีภัณฑ์บางชนิดในระดับต่ำ หรือมีการปนเปื้อนเคมีภัณฑ์ในวัตถุดิบผลิตบ้าง และเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติที่กลุ่มวังขนายกำลังทำตลาด
อย่างไรก็ตาม การผลิตน้ำตาลธรรมชาติ ให้มีคุณภาพปลอดสารพิษ 100% จะต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตตั้งแต่วัตถุดิบต้นทาง คือ การปลูกอ้อยต้องปรับวิธีเพาะปลูกใหม่ นำเทคโนโลยีการเกษตรชีวภาพมาปรับใช้แทนรูปแบบเกษตรเดิม ต้องปรับปรุงคุณภาพดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี/ยาฆ่าแมลง เปลี่ยนใช้ปุ๋ยหมักและแตนเบียนกำจัดศัตรูพืชในแปลงปลูก และที่สำคัญผลผลิตจะลดลงประมาณ 10-20%
" การผลิตน้ำตาลธรรมชาติมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าน้ำตาลทรายขาว จากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน โดยกลุ่มวังขนายต้องเพิ่มบุคลากรฝ่ายไร่ เข้าไปควบคุมแปลงปลูกอย่างเป็นระบบ ไม่ให้เกิดการปนเปื้อนเคมีภัณฑ์จากอ้อยทั่วไปที่ใช้สารเคมีบริเวณใกล้เคียง ซึ่งต้องมีพื้นที่กันชนปลูกอ้อยบริเวณรอยต่อระหว่างพื้นที่ควบคุมกับแปลงอ้อยทั่วไป"นายบุญญฤทธิ์กล่าวและว่า
การผลิตน้ำตาลธรรมชาติให้มีคุณภาพบริสุทธิ์ 100% ทางกลุ่มวังขนายได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ส่งเสริมปลูกอ้อยของโรงงานน้ำตาลราชสีมา อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา และโรงงานน้ำตาลที.เอ็น. อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี มาแล้วประมาณ 2 ปี โดยมีเกษตรกรร่วมปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลธรรมชาติแล้วประมาณ 1,000 ราย ทำให้คุณภาพอ้อยทั้ง 2 จุดมีสารเคมีปนเปื้อนลดลงเรื่อยๆ
กลุ่มวังขนายอยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่แปลงใหญ่ สำหรับปลูกอ้อยผลิตน้ำตาลธรรมชาติ โดยนำเทคโนโลยีพิกัดดาวเทียม GPS และการวิเคราะห์คุณสมบัติของดินด้วยระบบ GIS ปรับปรุงดินบริเวณที่จะปลูกด้วยการปลูกปอเทือง พืชตระกูลถั่ว ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ฟื้นฟูสภาพดินอย่างน้อย 3 ปี จึงจะใช้ปลูกอ้อยผลิตน้ำตาลธรรมชาติได้ ส่วนต้นพันธุ์อ้อย จะใช้ท่อนพันธุ์พื้นเมือง เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยจากพืชตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs)
นายบุญญฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ทิศทางการผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มวังขนาย กำหนดแผนงานพัฒนาจะเป็นกลุ่มผู้ผลิตนำร่อง ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย พัฒนาการผลิตน้ำตาลให้มีคุณภาพ สนองความต้องการตลาดที่ต้องการผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติ โดยจะทยอยการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกษตรกรในโควตาของกลุ่มวังขนาย ปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
การผลิตน้ำตาลธรรมชาติ จะพัฒนาให้เป็นมาตรฐานของกลุ่มวังขนาย โดยขยายพื้นที่ส่งเสริมปลูกอ้อยในรูปแบบเกษตรชีวภาพออกไปให้ครบทั้ง 4 โรงงานน้ำตาลในเครือ ที่จังหวัดนครราชสีมา ลพบุรี สุพรรณบุรี และจังหวัดมหาสารคาม ให้มีพื้นที่ปลูกอ้อยชีวภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่กับการลดปริมาณการใช้สารเคมีในแปลงปลูกอ้อยลงเช่นกัน
ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มน้ำตาลวังขนายกล่าวต่อว่า เบื้องต้น พื้นที่ปลูกอ้อยเกษตรชีวภาพนำร่องไปแล้ว ที่จังหวัดนครราชสีมาและลพบุรี จะต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 3 ปี จะทำให้พื้นที่ปลูกและวัตถุดิบอ้อย บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ปลอดจากสารเคมีปนเปื้อนทั้ง 100% ซึ่งจะทำให้น้ำตาลทรายที่ผลิตออกเป็นน้ำตาลธรรมชาติบริสุทธิ์ 100%
ผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติบริสุทธิ์ 100% ที่กำลังจะออกสู่ตลาดในอนาคต ถือเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติรายแรกของโลกที่จะออกสู่ตลาด เพราะผลิตภัณฑ์น้ำตาลในตลาดโลก ปัจจุบันยังไม่มีกลุ่มผู้ผลิตจากประเทศใด มีโครงการผลิตน้ำตาลธรรมชาติระดับนี้
ส่วนตลาดรองรับผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติบริสุทธิ์ ปัจจุบันกระแสตลาดตอบรับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในอนาคตกลุ่มวังขนายจะมีผลิตภัณฑ์น้ำตาลธรรมชาติทั้งแบบบริสุทธิ์ 100% และทั่วไป จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค โดยน้ำตาลธรรมชาติแบบบริสุทธิ์ ผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่ต้องการน้ำตาลคุณภาพ มีตลาดรองรับมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ล่าสุดกระแสตลาดตอบรับ หลังจากที่กลุ่มน้ำตาลวังขนาย ได้นำน้ำตาลธรรมชาติเกรดทั่วไป ออกจำหน่ายเมื่อปี 2546 แม้ในปีแรก สัดส่วนยอดขายน้ำตาลธรรมชาติ จะสามารถขายได้ประมาณ 10% ของยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำตาลทั้งหมด แต่หลังจากนั้น ยอดขายขยายตัวอย่างรวดเร็ว ล่าสุดน้ำตาลธรรมชาติมีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับน้ำตาลทรายขาวซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลัก
สำหรับกลุ่มน้ำตาลวังขนาย ถือเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศ มีบริษัทในเครือที่เป็นโรงงานผลิตน้ำตาล 4 แห่ง เริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อปี 2518 ตั้งบริษัท น้ำตาลวังขนาย จำกัด ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันมีกำลังผลิตน้ำตาล 15,453 ตันอ้อยต่อวัน ปัจจุบันได้ย้ายมาทำการผลิตที่จังหวัดมหาสารคาม
ปี 2527 ตั้งบริษัท น้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคล จำกัด อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีกำลังผลิตน้ำตาล 17,731 ตันอ้อยต่อวัน ปี 2530 ตั้งบริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาล ที.เอ็น.จำกัด อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี มีกำลังผลิตน้ำตาล 18,000 ตันอ้อยต่อวัน และปี 2533 ตั้งบริษัท อุตสาหกรรมอ่างเวียน จำกัด ตั้งโรงงานที่อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงงานน้ำตาลใหญ่ที่สุดในกลุ่มวังขนาย มีกำลังการผลิต 36,000 ตันอ้อยต่อวัน
โรงงานน้ำตาลทุกโรงของกลุ่มได้พัฒนาเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ารายย่อย โดยใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าและไอน้ำใช้ภายในโรงงาน และนำกระแสไฟฟ้าที่เหลือ จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
นอกจากการผลิตน้ำตาลแล้ว กลุ่มวังขนายได้ขยายกิจการไปยังธุรกิจประเภทอื่น ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาลโดยตรงและทางอ้อม และธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลอีกหลายบริษัทต้องนำระบบจัดการเกษตรชีวภาพมาปรับใช้กับแปลงเพาะปลูกอ้อย เพื่อให้วัตถุดิบอ้อย ลดการปนเปื้อนสารเคมีลง
ที่มา : ผู้จัดการ
15. ปลูกอ้อยอินทรีย์ ระบบน้ำหยด เทคนิคเพิ่มผลผลิต
ของ บุญสืบ กันศิริ จ.สุพรรณบุรี
เทคโนโลยีการเกษตร
ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์
อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจดาวรุ่ง พุ่งแรง แซงหน้าพืชพลังงานชนิดอื่นๆ เพราะอ้อยมีระบบการซื้อขายผลผลิตที่แน่นอนในรูปโควต้า ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการหาตลาดรองรับผลผลิตเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น แถมอ้อยสามารถนำไปแปรรูปเป็นน้ำตาลทราย และแปรรูปเป็นก๊าซโซฮอล์ ปุ๋ยอินทรีย์ กระดาษได้เป็นอย่างดี ทำให้ใครๆ ก็อยากจะปลูกอ้อย
ในฉบับนี้จะขอแนะนำเทคนิคที่จะช่วยชาวไร่อ้อยให้สามารถเพิ่มผลผลิตของอ้อย ด้วยระบบการจัดการเป็นระบบคือ การปลูกอ้อยด้วยระบบน้ำหยด ที่เพิ่มพูนผลผลิตอ้อยจากเดิม ที่เคยได้ไร่ละ 8-10 ตัน ต่อไร่ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 15-18 ตัน ต่อไร่ ผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ของการปลูกอ้อยน้ำหยด จากเจ้าของไร่อ้อยใจดี คือ คุณบุญสืบ กันศิริ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 177 หมู่ที่ 13 ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โทร. (086) 171-4899
คุณบุญสืบ บอกว่า โครงการปลูกอ้อยระบบน้ำหยด จัดอยู่ในประเภทวิสาหกิจชุมชน เพราะจะทำงานกันเป็นทีม เป็นกลุ่ม ปลูกอ้อยเพื่อส่งขายให้กับโรงงานน้ำตาลวังขนาย โดยได้รับการอบรมเรื่องการปลูกอ้อยระบบน้ำหยด และการผลิตปุ๋ยชีวภาพเพื่อใช้เองจากโรงงานน้ำตาลวังขนาย คุณบุญสืบย้อนประวัติความเป็นมาของการเริ่มอาชีพปลูกอ้อยให้ฟังว่า เมื่อประมาณกว่า 30 ปีที่แล้ว ชาวไร่ขายอ้อยในราคาที่ถูกมาก เพียงตันละ 250 บาท
การปลูกอ้อยจะใช้วิธีการปลูกแบบทยอยปลูกทีละ 100-200 ไร่ ต้นทุนต่อไร่ก็แพงโขอยู่ ประมาณ 8,000 บาท ต่อไร่ (รวมทุกอย่างตั้งแต่ ค่าเช่าพื้นที่ปลูก ค่าต้นพันธุ์ แรงงาน ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าจ้างตัด ค่าขนส่ง)
วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ก็ต้องรออีกหลายสิบปี กว่าราคาอ้อยจะปรับตัวขึ้นมาจาก 600 บาท ต่อตัน มาเป็น 807 บาท ต่อตัน และในปี 2552 จะมีการปรับราคาสูงขึ้น ประมาณ 1,000-1,200 บาท ต่อตัน แต่อ้อยต้องมีคุณภาพ ทางโรงานน้ำตาลถึงจะยอมปรับราคาให้สูงขึ้น และคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ราคาของอ้อยจะขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสความต้องการพืชพลังงาน
กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยระบบน้ำหยด มีการรวมตัวเป็นกลุ่มย่อยๆ ในชื่อเรียกว่า กลุ่มอ้อยกับฝน มีสมาชิกทั้งหมด 7 คน พื้นปลูกอ้อยรวมกันทั้งหมด 600 ไร่ สมาชิกแต่ละคน มีพื้นที่ปลูกอ้อย คนละ 20-30 ไร่ มีเพียงตนคนเดียวที่มีพื้นที่ปลูก 400 ไร่
การปลูกอ้อยระบบน้ำหยด เป็นแปลงปลูกอ้อยแบบอินทรีย์และไม่อินทรีย์ แต่ช่วงระยะ 3 ปีหลัง มีการลดการใช้สารเคมีให้น้อยลงเรื่อยๆ แต่ผลผลิตก็ยังสามารถได้มากเท่าเดิม แม้จะไม่มีการใช้สารเคมีแล้ว เนื่องจากใช้วิธีการบริหารจัดการไร่อ้อย โดยเพิ่มผลผลิตในระบบน้ำหยด
คุณบุญสืบ บอกว่า การลงทุนปลูกอ้อยระบบน้ำหยดนั้น แม้นว่าจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงแต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นจริงๆ คุณบุญสืบ บอกว่า แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้เพาะปลูกอ้อยแบบทั่วๆ ไป คือใช้น้ำจากบ่อบาดาล หรือบางแห่งก็ปลูกแบบให้เทวดาเลี้ยง ปลูกอ้อยแต่ละครั้ง ก็ต้องรอช่วงฤดูฝน ถึงจะลงปลูกอ้อย ผลิตผลที่ได้ประมาณ 8-9 ตัน ต่อไร่ ถ้าได้ถึง 10 ตัน ต่อไร่ ก็ถือว่าเก่งแล้ว
พอช่วงปี 2548 ทางกลุ่มโรงงานน้ำตาลวังขนาย มาส่งเสริมให้ปลูกอ้อยในระบบน้ำหยด และจัดทำแปลงทดลองสาธิตให้ดูก่อน ว่าปลูกแบบนี้จะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจริงๆ ที่สำคัญการปลูกอ้อยระบบน้ำหยดเป็นการปลูกอ้อยอินทรีย์ จะเริ่มค่อยๆ ลดการใช้สารเคมีลงทีละน้อย ลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีการใช้สารเคมีเลย
ปรากฏว่า ภายหลังจากชาวไร่อ้อยใช้ระบบน้ำหยด ก็ได้ผลผลิตดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาทางกลุ่มวังขนาย ก็มาส่งเสริมให้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพใช้เอง ก็ช่วยเพิ่มผลผลิตและเป็นการลดต้นทุนการผลิตแบบยั่งยืนอย่างเห็นได้ชัด การใช้ระบบน้ำหยดดีอย่างไร ต้นทุนเท่าไหร่
ผู้เขียนถาม ได้รับคำตอบจากคุณบุญสืบว่า การลงทุนทำระบบน้ำหยด ช่วยเพิ่มผลผลิตได้มาก จากเดิมที่เคยได้ผลผลิตเฉลี่ย 9-10 ตัน ต่อไร่ พอหันมาใช้ระบบน้ำหยด ก็เพิ่มผลผลิตมาเป็น 15-18 ตัน ต่อไร่ ส่วนต้นทุนระบบน้ำหยด อยู่ที่ 60,000 บาท ต่อ 1 ชุด อายุการใช้งานของระบบน้ำหยดนานประมาณ 2-3 ปี (ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา)
ผู้เขียนถามถึงเรื่องต้นทุนต่อไร่เท่าไหร่ เพราะค่าระบบน้ำหยดก็จัดว่าแพงโขอยู่ คุณบุญสืบ บอกว่า ถึงจะแพงแต่ก็คุ้ม เพราะมีการรวมกลุ่มกันปลูก ปริมาณผลผลิตที่ได้มาก ราคาที่ได้แม้นไม่สูงมากแต่ก็พออยู่ได้ แต่จะไม่คุ้มถ้าใช้ระบบน้ำหยดกับไร่อ้อยขนาดเล็กๆ จึงต้องมีการรวมกลุ่มกันปลูกถึงจะดี ต้นทุนต่อไร่ประมาณ 8,000 บาท ต่อไร่ (เป็นการรวมต้นทุนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่ค่าต้นพันธุอ้อย ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงงานทั้งหมด)
ถ้าคิดให้ละเอียดลงไปอีก ก็จะมี
ค่าแรงงานไถหน้าดิน ตีดิน ครั้งละ 400 บาท ต่อไร่
ค่าต้นพันธุ์อ้อยไร่ละ 1,000 บาท ต่อไร่
ค่าแรงงานคนปลูก 10-30 คน เป็นงานเหมาทั้งหมดคิดเป็นตันละ 100 บาท
ค่าตัดอ้อยตันละ 300 บาท และ
ค่าจ้างแรงงานเหมาไร่ละ 700-1,000 บาท
ส่วนวิธีการปลูกอ้อยอินทรีย์นั้น คุณบุญสืบบอกว่า ก็เหมือนกับการปลูกอ้อยทั่วๆ ไปนั้นแหละ เพียงแต่เราดูแลเรื่องของระบบน้ำ ดินและปุ๋ยให้ดี อย่าให้อ้อยขาดน้ำ สำหรับการปลูกอ้อย ของ "กลุ่มอ้อยกับฝน" นั้น ปลูกแบบไม่เผาตอ แต่จะตัดและไว้ตอเก็บเอาไว้เป็นต้นใหม่ จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าต้นพันธุ์อ้อย ที่สำคัญคือการลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีแต่หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพมากขึ้นเพื่อเป็นการรักษาสมดุลของดินที่ปลูกด้วย การดูแลต้นอ้อยให้มีผลผลิตสูงด้วยปุ๋ยอินทรีชีวภาพคือ การลด ละ เลิกการใช้สารเคมี
คุณบุญสืบบอกว่า การดูแลต้นอ้อยอินทรีย์ จะแบ่งแปลงทดลอง ค่อยๆ ปลูกไปก่อน แต่จะดูแลเป็นช่วงๆ ตามอายุของต้นอ้อย เริ่มตั้งแต่การปลูกไปจนถึงขั้นตอนการตัดเก็บเกี่ยวอ้อย โดยทั่วไปจะใช้อ้อย 2 สายพันธุ์ คือ
1. อ้อยพันธุ์ LK-11 และ
2. อ้อยพันธุ์ K 84-200
คุณสมบัติเด่นของอ้อยทั้ง 2 สายพันธุ์ คือ แตกกอดี รสชาติหวาน ได้น้ำหนักกำลังดี ที่สำคัญ ทนแล้งได้ดี เวลาที่เหมาะสมในการปลูกอ้อยคือ ช่วงฤดูฝน ปลูกอ้อยได้ดีที่สุด อ้อยอินทรีย์จะไม่มีการเผาตอ เผาใบอ้อย แต่จะตัดอ้อยเพื่อไว้ตอตั้งแต่ 1-3-5 ตอ วิธีนี้จะสามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 2-3 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาเป็นหลัก จากการปลูกอ้อยธรรมดาสู่การปลูกแบบอ้อยอินทรีย์นั้น ช่วงระยะแรกๆ ต้องค่อยๆ ลดการใช้สารเคมีลงทีละน้อย อย่างปุ๋ยที่ใส่ในแปลงปลูกอ้อย ปีละ 2 ครั้ง ช่วงที่ปลูกรองพื้นด้วย 16-20-0 จะใส่ช่วงที่มีการไถกลบร่อง อย่างพื้นที่ 1 ไร่ ต้องใส่ปุ๋ย 1 ลูก ปุ๋ยสูตรที่ 2 จะใช้ 21-0-0 และตามด้วยยูเรีย 46-0-0 จะใส่ช่วงที่อ้อยมีอายุตั้งแต่ 3-4 เดือน
ที่สำคัญไร่อ้อยที่ปลูกแบบเทวดาช่วยเลี้ยงต้องอาศัยปลูกช่วงฤดูฝนประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ทำให้แต่ก่อนต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากถึง 2 ลูก ต่อไร่ หรือ 100 กก./ไร่ เมื่อหันมาปลูกอ้อยอินทรีย์ก็ค่อยปรับสัดส่วนปุ๋ยเคมีลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพสัก 70% ปุ๋ยเคมี 30% และค่อยๆ ลดจนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพทั้งหมด การปลูกอ้อยอินทรีย์เริ่มทีละเล็กทีละน้อย โดยเริ่มทดลองปลูกไปก่อน 10 ไร่ เป็นการปลูกอ้อยช่วงตอ 2 ผลผลิตที่ได้ทำให้ชาวไร่ยิ้มออก เพราะจากเดิมเคยได้แค่ 9-12 ตัน/ไร่ ก็ได้ผลผลิตมากขึ้นเป็น 15-18 ตัน/ไร่
ในกรณีที่เป็นไร่อ้อยอินทรีย์ล้วนๆ การปลูกอ้อยจะเป็นลักษณะของการวางท่อนพันธุ์อ้อย หลังจากที่มีการเตรียมดินเอาไว้แล้ว การปลูกจะเลือกปลูกให้ตรงกับช่วงฤดูฝนพอดีจะได้ไม่ต้องให้น้ำ แต่ถ้าช่วงฤดูฝนแล้ว ฝนไม่ตกจะให้น้ำ 1 วันเต็มๆ ให้น้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง โดยจะให้น้ำแบบทยอยครั้งละ 5 ไร่ ด้วยวิธีการให้แบบ
สายน้ำหยด โดยจะวัดค่าความชื้นของดินก่อนให้น้ำทุกครั้งหรือถ้าดูแล้วว่าขาดน้ำจริงๆ ก็ 15 วัน ต่อครั้ง น้ำที่ใช้เป็นบ่อบาดาล สูบน้ำขึ้นมาใช้ก็ต้องผ่านระบบท่อกรองน้ำก่อนปล่อยน้ำเข้าสู่ไร่อ้อย การตัดอ้อยขาย จะทำในช่วงที่ต้นอ้อยมีอายุ 8-10 เดือน ขึ้นไป โดยส่งไปยังโรงงานน้ำตาล ราคาที่ได้ ปัจจุบันนี้อยู่ที่ 807 บาท ต่อตัน ทางกลุ่มจะนำผลผลิตส่งให้กับกลุ่มน้ำตาลวังขนายประมาณ 5,000 ตัน ต่อครั้ง และบริษัทไทยอุตสาหกรรม จำกัด 1,000 ตัน ต่อครั้ง เมื่อปลูกด้วยระบบน้ำหยด เม็ดเงินที่ได้จะแบ่งปันในกลุ่มสมาชิกตามสัดส่วนพื้นที่ปลูก รายได้เฉลี่ยต่อปีละประมาณ 5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการปลูกอ้อยในระบบเดิมที่มีเม็ดเงินรายได้เพียงปีละ 3 ล้านบาทต้นๆ
ใครสนใจข้อมูลอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกอ้อยระบบน้ำหยด ก็สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมจากคุณบุญสืบได้ตามที่อยู่ข้างต้น ได้ตามสะดวก
library.dip.go.th/multim6/edoc/17528.pdf -
16."อ้อยโคลน” อาหารสัตว์พันธุ์แรก
เพื่อเกษตรกรเลี้ยงโค-แพะ-แกะ
คมชัดลึก :ปัญหา อย่างหนึ่งในการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ขาดแคลนอาหารหยาบ ที่นำมาใช้เลี้ยงสัตว์ อีกทั้งผลิตผลดังกล่าวมีราคาแพง ล่าสุดสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 จังหวัดสงขลา โดยการขับเคลื่อนของ ไพโรจน์ สุวรรณจินดา ผอ.สำนักวิจัย ได้หาทางช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการสนับสนุนของวิชาการเกษตร วิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยจนได้ “อ้อยโคลนเบอร์ 6″ พันธุ์ที่เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ เพราะคุณสมบัติเด่นคือ สร้างต้นและใบได้มากในเวลาอันสั้น ทนแล้ง งอกใหม่เมื่อได้รับน้ำ ง่ายต่อการจัดการ ให้ผลผลิตสูง ที่สำคัญต้นทุนการผลิตต่ำกว่าปลูกพืชอาหารสัตว์ชนิดอื่น
ผอ.ไพโรจน์ เล่าถึงเหตุผลว่า ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องในพื้นที่ภาคใต้มีปัญหาขาดแคลนอาหารหยาบ และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพง เนื่องจากพื้นที่ทุ่งหญ้ามีค่อนข้างจำกัด และอยู่ห่างไกลจากแหล่งผลิตพืชไร่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้มีต้นทุนการขนส่งสูง ซึ่งอ้อยอาหารสัตว์นี้จะเป็นทางออกที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรได้
“เพื่อ แก้ปัญหา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 จังหวัดสงขลา จึงร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา นำพันธุ์อ้อย 6 สายพันธุ์ ที่มีลักษณะเหมาะจะใช้เป็นอาหารสัตว์มาทดสอบการให้ผลผลิตในสภาพแวดล้อมของ ศูนย์วิจัย พบว่าอ้อยโคลนพันธุ์เบอร์ 6 ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ Phi58-260 กับพันธุ์ K84-200 เป็นพันธุ์ที่มีศักยภาพเหมาะสมกับการใช้เป็นอาหารสัตว์มากที่สุด คือ มีลำเล็ก แตกกอดี ใบมาก เติบโตเร็ว มีความทนแล้ง สามารถตัดได้หลายครั้ง และมีโปรตีนประมาณ 5 % โดยน้ำหนักสด” ผอ.สวพ.8 แจง
พร้อมเสริมว่า อ้อยลูกผสมพันธุ์นี้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุก 3-4 เดือน หรือยืดไปถึง 6 เดือน โดยให้ผลผลิตต้นสดในสภาพการปลูกแบบอาศัยน้ำฝน เฉลี่ย 2 ตันต่อไร่ต่อเดือน หรือมากกว่า 20 ตันต่อไร่ต่อปี ซึ่งเกษตรกรสามารถใช้เครื่องสับให้สัตว์กินสด หรือทำเป็นหญ้าหมักไว้เลี้ยงสัตว์ยามขาดแคลนได้ สัตว์จะชอบกินมากเพราะมีความหวานกว่าฟางข้าวและหญ้าสดทั่วไป ถือเป็นพืชอาหารสัตว์ทางเลือกใหม่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ แพะ และแกะ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงโคนม มีความเป็นไปได้สูง ซึ่งจะช่วยลดความสิ้นเปลืองค่ากากน้ำตาลได้ค่อนข้างมาก
“เกษตรกรที่มีพื้นที่น้อยก็ปลูกอ้อยอาหารสัตว์ได้โดยสามารถปลูกตามหัว ไร่ปลายนา หรืออาจปลูกในพื้นที่ว่างระหว่างแถวยางหรือปาล์มน้ำมันปลูกใหม่ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีราคาแพง ทำให้ประหยัดต้นทุนและหนุนระบบการผลิตปศุสัตว์ให้มั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะการเลี้ยงแพะ แกะในเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังขยายตัวมาก” ผอ.สวพ.8 แจง
ด้าน สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ปีนี้กรมวิชาการเกษตรได้ปรับปรุงมิติการวิจัยด้านพืชใหม่ให้กว้างขวางมาก ยิ่งขึ้น จากเดิมที่เน้นศึกษาวิจัยฉพาะพืชที่เป็นอาหารมนุษย์ ก็ได้เพิ่มการวิจัยและพัฒนาคลอบคลุมพืชอาหารสัตว์ด้วย เบื้องต้นก็ได้พัฒนาพันธุ์อ้อยให้เหมาะสมกับการใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารหยาบเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพันธุ์นี้มีคุณสมบัติต่างจากอ้อยโรงงาน คือสร้างต้นและใบได้มากในเวลาอันสั้น ทนแล้งได้ดี งอกใหม่ได้ ง่ายต่อการจัดการ ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการปลูกพืชอาหารสัตว์ชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด และข้าวฟ่าง ที่ต้องปลูกใหม่ทุกครั้ง หรือตัดได้เพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งกรมคาดจะประกาศรับรองเป็นพันธุ์พืชอาหารสัตว์พันธุ์แรกของกรมวิชาการ เกษตรได้ปี 2554
อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรท่านใดสนใจพันธุ์อ้อยอาหารสัตว์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โทร.0-7420-5980
13.874246 100.669851
http://soclaimon.wordpress.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99/
17. การแก้ปัญหาการเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว
โดยใช้เครื่องสางใบอ้อย
ในแต่ละปีประเทศไทยมี อ้อยไฟไหม้เข้าหีบมากกว่า 50% ของปริมาณอ้อยที่เข้าหีบทั้งหมด เนื่องมาจากการขาดแคลนแรงงานตัดอ้อยสด ซึ่งการตัดอ้อยสดใช้แรงงานมากและช้า การเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยวทำให้ตัดอ้อยได้รวดเร็วเพราะไม่ต้องเสียเวลา ลอกกาบใบอ้อย และรถตัดอ้อยที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาแพง แต่การเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยวก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำหนักลำอ้อย และคุณภาพความหวานและปัญหาอื่นตามมาอีกหลายประการ ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรีได้ดำเนินการวิจัย เพื่อแก้ปัญหาการเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยวตั้งแต่ปี 2549 โดยการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้การใช้แรงงานคนตัดอ้อยสดได้รวดเร็วขึ้นคือ เครื่องสางใบอ้อยติดตั้งบนรถไถเดินตามเพื่อใช้ตีใบอ้อยที่แก่ และแห้ง โดยเครื่องสางใบอ้อยซึ่งมีชุดตีใบอ้อย 2 ชุด คือ ชุดตีใบอ้อยด้านล่าง และชุดตีใบอ้อยด้านบน และเข้าไปทำงานระหว่างแถวอ้อยที่มีความกว้างตั้งแต่ 1.3 เมตรขึ้นไป สามารถตีใบอ้อยที่แก่และแห้งได้ครั้งละ 2 ร่อง เมื่อนำไปทดสอบการทำงานในสภาพไร่อ้อยต่างๆ ได้มี การปรับปรุงให้เครื่องสางใบอ้อยสามารถทำงานได้สมบูรณ์ ต่อจากนั้นทำการเปรียบเทียบอัตราความเร็วในการสางใบอ้อยกับการใช้มีดสางใบ อ้อยและมีดตัดอ้อย พบว่า เครื่องสางใบอ้อยสามารถสางใบอ้อยได้รวดเร็วกว่าใช้มีดสางใบอ้อยและมีดตัด อ้อย ถึงแม้ว่าจะมีลำหักล้มเสียหายบ้างแต่การใช้เครื่องสางใบอ้อยสามารถตีใบอ้อย และเก็บเกี่ยวอ้อยได้ทันที การที่อ้อยหักล้มจึงไม่เป็นปัญหาเพราะว่าจะต้องตัดอ้อยตามอยู่แล้ว และไม่ทำให้ลำและตาอ้อยเสียหาย มีเพียงหน่อล่าขนาดเล็กซึ่งไม่มีน้ำตาลซูโครสที่ถูกแส้ของเครื่องสางใบอ้อย ตีหน่อล่าหักทิ้งและเมื่อมีการใช้เครื่องสางใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว พบว่า สามารถตัดอ้อยสดได้เร็วขึ้น 20% เมื่อเปรียบเทียบกับอ้อยที่ไม่มีการสางใบอ้อย แต่ช้ากว่าอ้อยที่ใช้มีดสางใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว เพราะว่ามีดสางใบอ้อยสามารถลอกใบแก่และแห้งของอ้อยได้เกือบหมด ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาลิดใบอ้อยที่หลงเหลืออีก เมื่อพิจารณาในทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า การสางใบอ้อยช่วยลดต้นทุนการตัดอ้อยสดเมื่อเปรียบเทียบกับอ้อยที่ไม่มีการ สางใบ และเพิ่มรายได้ในการผลิตอ้อยจากการที่ได้ราคาอ้อยเพิ่มขึ้นจากการตัดอ้อยสด มากกว่า 20 บาทต่อตัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเขตปลูกอ้อย ในขณะที่อ้อยไฟไหม้ถูกตัดราคาอ้อยตันละ 20 บาท จึงทำให้อ้อยที่มีการสางใบก่อนการเก็บเกี่ยวมีรายได้สุทธิสูงกว่าการตัดอ้อย ไฟไหม้ และการตัดอ้อยสดที่ไม่มีการสางใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว
http://soclaimon.wordpress.com/
18. วิธีการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่
ลงทุนต่ำ หัวใจของการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่
ลงทุนต่ำหัวใจของการปลูกอ้อยสูตร 100 ตันต่อไร่ ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันเป็นวงจร เพื่อดูแลหล่อเลี้ยงต้นอ้อยให้เติบโตสมบูรณ์ คือ
1. ดิน
2. พันธุ์อ้อย
3. น้ำ
4. ปุ๋ย
โดยมีวิธีการปลูกดังนี้
- การเตรียมดิน
เนื่องจากดินเป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโตของอ้อย การศึกษาเรื่องของดินอย่างลึกซึ้งถึงแก่น ทำให้ทราบว่า ดินที่อ้อยต้องการ จะต้องมีคุณสมบัติครบ 4 ประการ คือ น้ำ อากาศ อินทรียวัตถุ และแร่ธาตุ ดังนั้น การเตรียมดินจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดิน, ซิลิคอน ผสมกันในอัตราที่เหมาะสม เพื่อทำให้ดินมีอินทรียวัตถุมากขึ้น สภาพพื้นที่ที่ใช้ปลูกอ้อยสามารถระบายน้ำได้ดี มีแหล่งน้ำที่สะอาด อยู่ในมาตรฐาน หรือเป็นแหล่งน้ำชลประทาน(ในกรณีใช้น้ำหยด)
การเตรียมดิน
เนื่องจากอ้อยเป็นพืชอายุยืนและมีรากหยั่งลึกมาก และเมื่อปลูกครั้งหนึ่งแล้วสามารถไว้ตอหรือเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง ปริมาณผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง ตลอดจนความยาวนานของการไว้ตอ นอกจากจะขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพลมฟ้าอากาศแล้ว การเตรียมดินนับว่ามีบทบาทสำคัญมาก ชาวไร่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
การไถ
สำหรับการเตรียมพื้นที่ ซึ่งปลูกอ้อยอยู่แล้ว และต้องการรื้อตอเก่าเพื่อปลูกใหม่ก็เริ่มต้นด้วยการเผาเศษที่เหลืออยู่บนดินโดยเร็วภายหลังการเก็บเกี่ยว เพราะขณะนั้นดินยังมีความชื้นพอที่จะปฏิบัติไถพรวนได้สะดวก ก่อนใช้ไถบุกเบิกรื้อตอเก่า ควรใช้เครื่องไถระเบิดดินดาน (subsoiler) หรือไถสิ่ว (ripper) ไถแบบตาหมากรุกเพื่อให้ดินนั้นเก็บน้ำไว้มากขึ้นภายหลังฝนตกและดินระบายน้ำได้ดีแล้ว ยังทำให้รากสามารถหยั่งลึกได้มากขึ้นอีกขณะเดียวกัน ถ้าพื้นดินอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำก็จะเป็นทางให้อ้อยใช้น้ำใต้ดินได้อีกด้วย เมื่อไถระเบิดดินชั้นล่างแล้วก็ตามด้วยไถจาน ๓ อีก ๓-๔ ครั้ง คือ ไถดะ ๑ ครั้ง แล้ว ไถแปรอีก ๑-๒ ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของดินและฤดูกาลที่ปลูก สำหรับการปลูกต้นฝน อาจไม่จำเป็นต้องเตรียมดินให้ละเอียดมากนัก แต่ถ้าเป็นการปลูกปลายฝนการเตรียมดินให้ละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นการไถควรไถให้ลึกมาก ๆ เพื่อให้สามารถเปิดร่องได้ลึกและปลูกได้ลึกด้วย ข้อที่ต้องระวังในการเตรียมดินก็คือ ไถในขณะที่ดินมีความชื้นพอเหมาะวิธีง่ายที่สุดที่จะทราบว่าดินนั้นมีความชื้นพอเหมาะหรือไม่ก็คือเอาดินในชั้นที่จะมีการไถใส่ฝ่ามือ แล้วกำพอแน่นแบมือออก ถ้าดินมีความชื้นพอเหมาะ จะจับกันเป็นก้อนในลักษณะพร้อมที่จะแตกออกเมื่อมีอะไรมากระทบดินที่มีความชื้นน้อยเกินไปก็จะแข็งมากไถลำบาก ถ้าดินมีความชื้นมากเกินไปก็จะจับกันเป็นก้อน นอกจากนี้ถ้าเป็นพื้นที่ลาดเอียง การปฏิบัติต่าง ๆ ในการเตรียมดินต้องกระทำในทิศทางตั้งฉากกับความลาดเอียงเสมอ ทั้งนี้เพื่อช่วยลดการกร่อนของดินเนื่องจากน้ำ
การปรับระดับ
เมื่อไถเสร็จแล้วควรปรับระดับพื้นที่ให้ราบเรียบพอสมควร และให้มีความลาดเอียงเล็กน้อยทางใดทางหนึ่งที่จะสะดวกต่อการให้น้ำและระบายน้ำ ในกรณีที่ปลูกโดยอาศัยน้ำฝนการปรับระดับจะทำให้น้ำไหลช้าลงช่วยลดการชะกร่อนได้อีกทางหนึ่งด้วย ในที่บางแห่งซึ่งมีความลาดเอียงค่อนข้างมากอาจต้องทำคันดินกั้นน้ำเป็นตอน ๆ ตัดขวางทางลาดเอียง พร้อมทั้งมีร่องระบายน้ำด้วย ทั้งคันดินและร่องน้ำควรให้มีความลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้น้ำไหลช้าลง บริเวณที่ลาดเอียงมากไม่ควรใช้ปลูกอ้อย
การยกร่อง
การยกร่องหรือการเปิดร่องสำหรับปลูกอ้อยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะนอกจากจะสะดวกแก่การปฏิบัติต่าง ๆ เช่น การปลูก การให้น้ำและการระบายน้ำแล้ว ยังทำให้ปลูกได้ลึกอีกด้วย การปลูกลึกช่วยให้อ้อยไม่ล้มง่าย ทนแล้งได้ดี และสามารถไว้ตอได้นานกว่าการปลูกตื้น เครื่องยกร่องอาจเป็นผานหัวหมู หรือหางยกร่องซึ่งใช้สำหรับยกร่องโดยเฉพาะแนวร่องที่ยกควรให้ตัดกับความลาดเอียงของพื้นที่ ระยะระหว่างร่องประมาณ ๙๐-๑๔๐ ซม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้และวัตถุในการปลูก
- วิธีการปลูก แบบที่ 1
ก่อนอื่นจะต้องมีการคัดเลือกพันธุ์อ้อย พันธุ์ที่ควรเลือกต้องมีคุณสมบัติแตกกอดี มีความต้านทานต่อโรคสูง ให้ความหวานสูงและให้ผลผลิตต่อไร่สูงอีกด้วย เมื่อคัดพันธุ์อ้อยได้แล้ว เราจะตัดส่วนที่เป็นข้อตาออกมาเพาะไว้ในถุงเพาะชำทีละถุง จนข้อตาเริ่มงอกเป็นหน่อและโตขึ้น เราก็จะคัดเลือกหน่ออีกครั้ง ใช้วิธีการปลูกด้วยข้อตาโดยตัดห่างจากข้อตาด้านละ 2 นิ้ว
1 ถุงเพาะกล้า ใช้ 1 ข้อตา เมื่อกล้ามีความสูงประมาณ 15 ซม. หรืออายุประมาณ 30-45 วัน ก็นำลงปลูก ซึ่งก่อนปลูกให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองพื้นในอัตรา 2.5 กก./แถว(ต้องเป็นอินทรีย์คุณภาพสูง ที่มีส่วนผสมสารเพิ่มผลผลิต Active ซิลิคอน) แล้วนำต้นกล้าออกจากถุง นำมาลงดินให้พอดีกับร่องอ้อย โดย 1 ร่อง สามารถลงอ้อยได้ 2 ต้น วางเป็นบล็อกๆ เรียงคู่ขนานกันยาวตลอดร่องอ้อย แล้วจึงกลบดินให้แน่น
แปลงปลูกจะมีขนาด 40 ม. x 40 ม.(1ไร่) จำนวน 40 แถว โดย 1 แถว จะใช้กล้าจำนวน 1,600 ต้น หรือใช้ทั้งหมดจำนวน 64,000 ต้น/ไร่ หลังปลูก 2-3 วันใช้ปุ๋ยน้ำฉีดพ่น ปุ๋ยน้ำต้องมีคุณภาพสูง ที่มีส่วนผสม สารอะมิโนแอซิด และสารโพลิเมอร์ (สาร 2 ตัวนี้ต้องมาจากธรรมชาติ 100%)
ฉีดครั้งที่ 2 อ้อย 3 เดือน
ฉีดครั้งที่ 3 อ้อย 6 เดือน
1 ไร่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง 100 กก. ปุ๋ยน้ำคุณภาพสูง 500-1000 ซีซี. ผลผลิตที่ได้
ถ้าอ้อย 1 ต้นหนัก 1 กก. 64,000 ต้นจะได้น้ำหนัก 64 ตัน/ไร่
ถ้าอ้อย 1 ต้นหนัก 1.5 กก. 64,000 ต้น จะได้น้ำหนัก 96 ตัน/ไร่
ถ้าอ้อย 1ต้นหนัก 2 กก. 64,000 ต้น จะได้น้ำหนัก 128 ตัน/ไร่
จะขายอ้อยได้เงิน ถ้าความหวานอยู่ที่ 10 ccs 64 ตัน เป็นเงินประมาณ 60,000 บาท/ไร่
ถ้า 96 ตันเป็นเงินประมาณ 93,000บาท/ไร่
ถ้า 128 ตันเป็นเงินประมาณ 125,000บาท/ไร่
สอบถามลายละเอีอดเพิ่มโทร 084-9143713 อิทธิโชตน์ อัคราช
วิธีการปลูกแบบที่ 2เทาที่ปฏิบัติในบ้านเรามี ๒ วิธี คือ
ปลูกด้วยเครื่องปลูก และปลูกด้วยแรงคน ผลผลิตที่ได้
ถ้าอ้อย 1 ต้นหนัก 1 กก. 64,000 ต้น จะได้น้ำหนัก 64 ตัน/ไร่
ถ้าอ้อย 1 ต้น หนัก 1.5 กิโลกรัม 64,000 ต้น จะได้น้ำหนัก 96 ตัน/ไร่
ถ้าอ้อย 1 ต้นหนัก 2 กก. 64,000 ต้นจะได้น้ำหนัก 128 ตัน/ไร่
จะขายอ้อยได้เงิน ถ้าความหวานอยู่ที่ 10 ccs 64 ตัน เป็นเงินประมาณ 60,000 บาท/ไร่ ถ้า 96 ตัน เป็นเงินประมาณ 93,000บาท/ไร่
ถ้า 128 ตันเป็นเงินประมาณ 125,000บาท/ไร่
๑. ปลูกด้วยเครื่องปลูก
เป็นเครื่องมือที่ติดกับรถแทรกเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่หลายอย่างไปพร้อม ๆ กัน นับตั้งแต่การเปิดร่อง ตัดลำต้นอ้อยออกเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ ๓๐ ซม. วางท่อนพันธุ์ในร่อง ใส่ปุ๋ยและกลบท่อนพันธุ์ การปลูกด้วยเครื่องต้องใช้แรงงาน ๓ คน คนหนึ่งทำหน้าที่ขับ และควบคุมการทำงานของส่วนต่างๆ ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่ป้องอ้อยทั้งลำ การปลูกด้วยเครื่องไม่ต้องมีการเปิดร่องหรือยกร่องไว้ก่อนเพียงแต่ไถให้ดินร่วนซุยดีเท่านั้น ชาวไร่รายใหญ่นิยมใช้เครื่องปลูกเพราะทุ่นค่าใช้จ่าย และมีความงอกสม่ำเสมอดี เพราะความชื้นในดินสูญเสียไปน้อยกว่าการปลูกด้วยแรงคนซึ่งต้องยกร่องไว้ล่วงหน้า วันหนึ่งปลูกได้ประมาณ ๑๕-๒๐ ไร่
๒. ปลูกด้วยแรงคน
ในทางทฤษฎีแนะนำให้เปิดร่องแล้วปลูกทันที แต่ในทางปฏิบัติชาวไร่มักจะเตรียมดินแล้วยกร่องคอยฝน เมื่อฝนตกมากพอก็จะรอจนดินหมาด แล้วจึงลงมือปลูก ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยรองพื้นแล้วกลบปุ๋ยก่อนวางท่อนพันธุ์ การปลูกก็ใช้วิธีวางท่อนพันธุ์ให้ราบกับพื้นร่องแล้วกลบดินให้หนาประมาณ ๕-๑๕ ซม. ทั้
http://www.thaibestpromotion.com/31970/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-100-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3.html
www.thaibestpromotion.com/.../
19. การปลูกอ้อย
โดย นายเกษม สุขสถาน
อ้อยเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แปรปรวน เช่น สภาพน้ำท่วมหรือแห้งแล้ง เป็นต้น การปลูกอ้อยเพียงเพื่อให้ขึ้นนั้นทำได้ไม่ยากนัก แต่การปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง และคุณภาพดีด้วยทำได้ค่อนข้างยาก ผู้ปลูกจะต้องมีทั้งความรู้และเงินทุนอย่างพอเพียง
ความสำเร็จของการทำไร่อ้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือตัวกสิกรเองเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวกสิกรทั้งสิ้นนับตั้งแต่การตัดสินใจเลือกทำเล พันธุ์ และการ
ปฏิบัติอื่นๆ ในที่นี้ที่สำคัญที่สุดคือ ทำเล ถ้าทำเลไม่เหมาะก็อาจประสบกับการขาดทุน หรือไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ความจริงคำว่า "ทำเล" มีความหมายกว้าง ซึ่งอาจรวมถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมของบริเวณนั้นด้วย ซึ่งจะได้กล่าวโดย ลำดับ
๑. สภาพพื้นที่
ต้องเป็นที่น้ำไม่ท่วมตลอดทุกฤดูกาล น้ำท่วมระยะสั้นอาจทำให้การเจริญเติบโตลดลง เป็นผลให้ผลผลิตลดลงด้วย ถ้าน้ำท่วมเป็นเวลานานอ้อยอาจตาย นอกจากนี้ต้องไม่เป็นที่ลาดชันเกินไป เพราะนอกจากจะไม่สะดวกต่อการใช้เครื่องมือแล้วยังทำให้ดินพังทลายเมื่อมีฝนตกมากอีกด้วย
๒. การคมนาคมสะดวก
มีถนนหนทางที่ใช้สัญจรไปมาได้สะดวกทุกฤดูกาล และถนนนั้นจะต้องสามารถรับน้ำหนักรถบรรทุกอ้อยได้ด้วย มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขนส่งอ้อย
๓. ไม่ห่างไกลจากโรงงาน
ไร่ที่อยู่ใกล้โรงงานมากกว่าย่อมได้เปรียบ ทั้งในด้านการขนส่งและติดต่อ ไร่อ้อยควรจะอยู่ห่างจากโรงงานไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตร
๔. มีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินควรเป็นบริเวณที่ไม่มีปัญหาจากนักเลงอันธพาล หรือโจรผู้ร้าย เป็นต้น
นอกจากปัจจัยสี่ประการตามที่กล่าวแล้วจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ อีก ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกทำเลทำไร่อ้อยเป็นไปอย่างเหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่
๑. สภาพของดิน
ต้องมีเนื้อดินลึกอย่างน้อย ๘๐ เซนติเมตร เพราะอ้อยเป็นพืชอายุยืนและหยั่งรากลึก นอกจากนี้ต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำดีอีกด้วย
๒. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงค่อนข้างดี จึงจะทำให้การปลูกอ้อยได้ผลดี ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมากๆ เช่นป่าเปิดใหม่แม้ว่าจะได้น้ำหนักมาก แต่ก็มักประสบปัญหาเรื่องอ้อยมีความหวานต่ำ
๓. น้ำฝนหรือน้ำชลประทาน
อ้อยเป็นพืชต้องการน้ำมาก ถ้าเป็นน้ำฝนต้องไม่น้อยกว่าปีละ ๑,๕๐๐ มิลลิเมตร และต้องมีการกระจายดีโดยเฉพาะในระยะที่อ้อยกำลังเจริญเติบโต ถ้าที่ใดมีฝนตกน้อย หรือฝนกระจายไม่ดีจะต้องมีน้ำชลประ-ทานช่วย นอกจากนี้ต้องมีระยะที่ขาดฝนและอากาศหนาวเพื่อให้อ้อยแก่และสุก
ปัจจัยอื่นๆ นอกจากที่กล่าวแล้วก็คือ แสงแดดและอุณหภูมิ อ้อยเป็นพืชต้องการแสงแดดจัดตลอดเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ดังนั้นบริเวณที่ได้รับแสงแดดน้อย จึงไม่เหมาะแก่การปลูกอ้อยสำหรับอุณหภูมินั้นเกี่ยวข้องกับคุณภาพหรือความหวานของอ้อย ในระยะที่ขาดฝนหรือขาดน้ำ ควรจะเป็นระยะที่อุณหภูมิต่ำหรืออากาศหนาวด้วย และสภาพอากาศหนาวควรจะมีเวลานานพอ ซึ่งจะทำให้อ้อยมีความหวานมากขึ้น
|
การปลูกอ้อยในภาคกลาง พวกที่หาบจะวางท่อนพันธุ์ในร่องอีกพวกหนึ่งใช้จอบกลบตาม |
|
|
|
ฤดูปลูก
การเลือกเวลาปลูกที่เหมาะสมนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเวลาปลูกมีอิทธิพลถึงการเตรียมดิน การปฏิบัติรักษา การเจริญเติบโตและผลผลิต ตลอดจนเวลาตัดหรือเก็บเกี่ยวด้วยปัจจัยสำคัญที่ควบคุมเวลาปลูกในแหล่งที่ไม่มีการชลประทาน คือ ฝน ในบริเวณที่มีการชลประทาน อาจปลูกได้ตลอดที่ อย่างไรก็ดี การปลูกอ้อยในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝน ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ
๑. ปลูกต้นฝน
ปลูกในราวเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเริ่มต้นของฤดูฝนชาวไร่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางส่วนมากนิยมปลูกในช่วงเวลาดังกล่าว การปลูกต้นฝนมักประสบปัญหาวัชพืช ทำให้ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในแง่ของการใช้น้ำ การปลูกต้นฝนไม่สามารถใช้น้ำฝนได้อย่างเต็มที่ เพราะในระยะ ๑-๓ เดือนแรกซึ่งอ้อยยังเล็กอยู่นั้นต้องการน้ำน้อยฝนที่ตกลงมาส่วนมากเกินความต้องการของอ้อย จึงสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ครั้นพอถึงระยะที่อ้อยต้องการน้ำมาก คือ เมื่ออายุ ๔-๘ เดือนก็ใกล้เวลาที่ฝนจะหมดแล้ว ทำให้มีเวลาในการใช้น้ำสั้นมีการเจริญเติบโตน้อย และให้ผลผลิตต่ำเพราะน้ำไม่พอ นอกจากนี้การปลูกต้นฝนไม่สามารถตัดได้ตอนต้นฤดูหีบเพราะอ้อยยังไม่แก่ จึงต้องตัดตอนปลายฤดูหีบ ดังนี้เป็นต้น
๒. ปลูกปลายฝน
ปลูกในราวเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธุ์ ชาวไร่ในภาคตะวันออก คือ ชลบุรีและระยอง ได้ถือปฏิบัติกันมานานแล้ว ส่วนชาวไร่ ในภาคอื่นๆ โดยเฉพาะภาคกลางกำลังให้ความสนใจเพิ่มขึ้นโดยลำดับ การปลูกปลายฝนมีข้อดี คือลดปัญหาวัชพืช อ้อยได้ใช้น้ำฝนเต็มที่ และมีเวลาในการเจริญเติบโตนานกว่า จึงให้ผลผลิตสูงกว่านอกจากนั้นยังสามารถตัดอ้อยได้ตั้งแต่ต้นฤดูหีบอีกด้วย อย่างไรก็ดี ข้อสำคัญในการปลูกปลายฝนนั้นจะต้องมีการเตรียมดินให้ดีกว่าการปลูกต้นฝน
|
อ้อยพันธุ์ เอฟ ๑๖๐ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว |
|
|
|
วิธีปลูกอ้อย
๑. ปลูกด้วยเครื่องปลูกเป็นเครื่องมือที่ติดกับรถแทรกเตอร์
ซึ่งทำหน้าที่หลายอย่างไปพร้อมๆ กัน นับตั้งแต่การเปิดร่อง ตัดลำต้นอ้อยออกเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร วางท่อนพันธุ์ในร่อง ใส่ปุ๋ยและกลบท่อนพันธุ์ การปลูกด้วยเครื่องต้องใช้แรงงาน ๓ คน คนหนึ่งทำหน้าที่ขับ และควบคุมการทำงานของส่วนต่างๆ ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่ป้อนอ้อยทั้งลำ การปลูกด้วยเครื่องไม่ต้องมีการเปิดร่องหรือยกร่องไว้ก่อนเพียงแต่ไถให้ดินร่วนซุยดีเท่านั้น ชาวไร่รายใหญ่นิยมใช้เครื่องปลูกเพราะทุ่นค่าใช้จ่าย และมีความงอกสม่ำเสมอดี เพราะความชื้นในดินสูญเสียไปน้อยกว่าการปลูกด้วยแรงคนซึ่งต้องยกร่องไว้ล่วงหน้า วันหนึ่งปลูกได้ประมาณ ๑๕-๒๐ ไร่
๒. ปลูกด้วยแรงคน
ในทางทฤษฎีแนะนำให้เปิดร่องแล้วปลูกทันที แต่ในทางปฏิบัติชาวไร่มักจะเตรียมดินแล้วยกร่องคอยฝน เมื่อฝนตกมากพอก็จะรอจนดินหมาด แล้วจึงลงมือปลูก ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยรองพื้นแล้วกลบปุ๋ยก่อนวางท่อนพันธุ์ การปลูกก็ใช้วิธีวางท่อนพันธุ์ให้ราบกับพื้นร่องแล้วกลบดินให้หนาประมาณ ๕-๑๕ เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูปลูก ถ้าปลูกหน้าฝนกลบบาง หน้าแล้งกลบหนา ขณะปลูกต้องมีการคัดเลือกท่อนพันธุ์ไปด้วยควรปลูกเฉพาะท่อนพันธุ์ที่มีตาสมบูรณ์เท่านั้น
ระยะปลูกแตกต่างกันไปตามสถานที่ โดยทั่วไปใช้ระยะระหว่างแถวตั้งแต่ ๙๐-๑๔๐ เซนติเมตรส่วนระยะระหว่างท่อนห่างกัน ๓๐-๕๐ เซนติเมตรวัดจากกึ่งกลางท่อนหนึ่งถึงกึ่งกลางของอีกท่อนหนึ่งอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวไร่ขาดความระมัดระวังเกี่ยวกับท่อนพันธุ์ ทำให้ความงอกต่ำจึงต้องใช้ท่อนพันธุ์มากขึ้น เช่น ปลูกโดยวางท่อนพันธุ์เป็นคู่ติดต่อกันไป หากชาวไร่ใช้ท่อนพันธุ์ ๓ ตา และมีการระวังในการเตรียมท่อนพันธุ์แล้วจะใช้ท่อนพันธุ์ประมาณ ๒,๐๐๐-๔,๐๐๐ ท่อนต่อไร่เท่านั้น แทนที่จะใช้ ๖,๐๐๐-๘,๐๐๐ ท่อนต่อไร่อย่างเช่นที่ปฏิบัติกันอยู่
นอกจากนี้ก็มีชาวไร่บางรายที่นิยมปลูกโดยวางอ้อยทั้งลำลงในร่อง โดยมิได้สับให้ขาดจากกันเป็นท่อนๆ วิธีนี้ไม่ถูกต้องเพราะอ้อยจะงอกเฉพาะ ปลายกับโคนเท่านั้น วิธีที่ถูกคือ เมื่อวางอ้อยทั้งลำแล้วใช้มีดสับให้ขาดเป็นท่อนๆ ละ ๒-๓ ตา วิธีนี้จะช่วยประหยัดแรงงานได้มาก แต่อ้อยที่ใช้ทำพันธุ์ ต้องมีอายุระหว่าง ๕-๘ เดือนจึงจะได้ผลดี
ในกรณีที่ดินแฉะหรือมีน้ำขังเล็กน้อย ควรปลูกโดยวิธีปักท่อนพันธุ์ให้เอียงประมาณ ๔๕ องศากับแนวดิ่ง และควรฝังให้ลึกประมาณสองในสามของความยาวท่อนพันธุ์
|
http://www.mitkaset.biz/home-5
20. การปลูกอ้อย
เทคโนโลยีการปลูก
การเลือกทำเลพื้นที่ปลูก
1. ควรเลือกที่ดอน น้ำไม่ขัง ดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ดี หน้าดินลึกอย่างน้อย 20 นิ้ว pH 5-7.7 แสงแดดจัด ปริมาณน้ำฝนควรมากกว่าปีละ 1,500 มิลลิเมตร และมีการกระจายของฝนสม่ำเสมอ ถ้าฝนน้อยกว่านี้ควรจะมีการชลประทานช่วย การคมนาคมสะดวก และอยู่ห่างจากโรงงานน้ำตาลไม่เกิน 50 กิโลเมตร
2. ควรปรับระดับพื้นที่และแบ่งแปลงปลูกอ้อย เพื่อความสะดวกในการใช้เครื่องจักรในการเตรียมดินปลูก และเก็บเกี่ยว ตลอดจนการระบายน้ำ
3. การไถ ควรไถอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือมากกว่า ความลึกอย่างน้อย 20 นิ้ว หรือ มากกว่า เพราะอ้อยมีระบบรากยาว ประมาณ 2-3 เมตร และทำร่องปลูก
การเตรียมท่อนพันธุ์
ปัจจุบันพันธุ์อ้อยมีหลายพันธุ์ ควรเลือกพันธุ์ที่มีลักษณะการเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตสูงและมีความหวานสูงด้วย โดยพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. พันธุ์อ้อยมีความสมบูรณ์ตรงตามพันธุ์ อายุประมาณ 8-10 เดือน ควรเป็นอ้อยปลูกใหม่ มีการเจริญเติบโตดีปราศจากโรคและแมลง
2. ตาอ้อยต้องสมบูรณ์ ควรมีกาบใบหุ้มเพื่อป้องกันการชำรุดของตาและเมื่อจะปลูกจึงค่อยลอกออก
3. ขนาดท่อนพันธุ์ที่ใช้ปลูกควรมีตา 2-3 ตา หรือจะวางทั้งลำก็ได้
วิธีการปลูก
1. ปลูกด้วยแรงคน คือหลังจากเตรียมดินยกร่อง ระยะระหว่างร่อง 1-1.5 เมตร แล้ว นำท่อนพันธุ์มาวางแบบเรียงเดี่ยวหรือคู่ ปัจจุบันเกษตรกรนิยมปลูกโดยวางอ้อยทั้งลำเหลื่อมกันลงในร่อง เสร็จแล้วกลบดินให้หนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร ถ้าปลูกปลายฤดูฝนควรกลบดินให้หนาเป็น 2 เท่าของการปลูกต้นฤดูฝน
2. การปลูกอ้อยโดยใช้เครื่องปลูก จะช่วยประหยัดแรงงานและเวลา เพราะจะใช้แรงงานเพียง 3 คนเท่านั้น คือคนขับ คนป้อนพันธุ์อ้อย และคนเตรียมอุปกรณ์อย่างอื่นถ้าเป็นเครื่องปลูกแถวเดียว แต่ถ้าเป็นเครื่องปลูกแบบ 2 แถว ก็ต้องเพิ่มคนขึ้นอีก 1 คน โดยจะรวมแรงงานตั้งแต่ยกร่อง สับท่อนพันธุ์ ใส่ปุ๋ย และกลบร่อง มารวมในครั้งเดียว ซึ่งเกษตรกรสามารถปลูกอ้อยได้วันละ 8-10 ไร่ แต่จะต้องมีการปรับระดับพื้นที่และเตรียมดินเป็นอย่างดีด้วย
การใส่ปุ๋ยอ้อย
เป็นสิ่งจำเป็น ควรมีการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสดร่วมกับปุ๋ยเคมี เพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดิน ปริมาณปุ๋ยที่ใส่ควรดูตามสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน และการเจริญเติบโตของอ้อย ถ้ามีการวิเคราะห์ดินด้วยยิ่งดี ปุ๋ยเคมีที่ใส่ควรมีธาตุอาหารครบทั้ง 3 อย่าง คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปตัสเซียม (เอ็น พี เค) ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ
1. ใส่ปุ๋ยรองพื้น ใส่ก่อนปลูกหรือพร้อมปลูก ใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร เอ็น พี เค ทั้ง 3 ตัว เช่น 15-15-15, 16-16-16 หรือ 12-10-18 อัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่
2. ใส่ปุ๋ยแต่งหน้า อ้อยอายุไม่เกิน 3 - 4 เดือน ควรเป็นปุ๋ยไนโตรเจนอย่างเดียว เช่น 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่
การกำจัดวัชพืช
การกำจัดวัชพืชสำหรับอ้อยเป็นสิ่งจำเป็นในช่วง 4-5 เดือนแรก อาจใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ หรือสารเคมีกำจัดวัชพืชก็ได้ เกษตรกรนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ดังนี้
1. ยาคุม ใช่เมื่อปลูกอ้อยใหม่ ๆ ก่อนหญ้าและอ้อยงอก ได้แก่ อาทราซีน อมีทรีน และเมทริบิวซีน อัตราตามคำแนะนำที่สลาก
2. ยาฆ่าและคุม อ้อยและหญ้างอกอายุไม่เกิน 5 สัปดาห์ ได้แก่ อมีทรีน อมีทรีนผสมอาทราซีน และเมทริบิวซีนผสมกับ 2,4-ดี อัตราตามคำแนะนำที่สลาก
การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชให้มีประสิทธิภาพ เกษตรกรต้องรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้อง ฉีดสารเคมีกำจัดวัชพืชในขณะที่ดินมีความชื้น หัวฉีดควรเป็นรูปพัด นอกจากนี้สามารถคุมวัชพืชโดยปลูกพืชอายุสั้นระหว่างแถวอ้อย เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว และถั่วเหลือง เป็นต้น นอกจากจะช่วยคุมวัชพืชแล้ว อาจเพิ่มรายได้และช่วยบำรุงดินด้วย
การตัดและขนส่งอ้อย
เกษตรกรจะต้องปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งเกษตรกรจะต้องรู้ว่าอ้อยของตัวเองแก่หรือยัง โดยดูจากอายุ ปริมาณ น้ำตาลในต้นอ้อย และวางแผนการตัดอ้อยร่วมกับโรงงาน ควรตัดอ้อยให้ชิดดินเพื่อให้เกิดลำต้นใหม่จากใต้ดิน ซึ่งจะแข็งแรงกว่าต้นที่เกิดจากตาบนดิน
การบำรุงตออ้อย
1. ทำการตัดแต่งตออ้อยหลังจากตัดทันที หรือเสร็จภายใน 15 วัน ถ้าตัดอ้อยชิดดิน ก็ไม่ต้องตัดแต่งตออ้อย ทำให้ประหยัดเงินและเวลา
2. ใช้พรวนเอนกประสงค์ 1-2 ครั้ง ระหว่างแถวอ้อยเพื่อตัดและคลุกใบ หรือใช้คราดคราดใบอ้อยจาก 3แถวมารวมไว้แถวเดียว เพื่อพรวนดินได้สะดวก
3. ใช้ริปเปอร์หรือไถสิ่วลงระหว่างแถวอ้อย เพื่อระเบิดดินดาน ต้องระมัดระวังในเรื่องความชื้นในดินด้วย
4. การใส่ปุ๋ย ควรใส่มากกว่าอ้อยปลูก ใช้สูตรเช่นเดียวกับอ้อยปลูก
5. ในแปลงที่ไม่เผาใบอ้อยและตัดอ้อยชิดดิน ก็จะปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ และเริ่มดายหญ้าใส่ปุ๋ยเมื่อเข้าฤดูฝน
6. การไว้ตออ้อยได้นานแค่ไหนขึ้นกับหลุมตายของอ้อยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีหลุมตายมาก ก็จะรื้อปลูกใหม่
http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=15737&name=content2&area=