การเตรียมการเพาะพันธุ์
1. ถ่ายน้ำออก เก็บเศษอาหารที่เหลือออกให้หมดและทำความสะอาดถังในเวลา 11.00 นาฬิกา
2. เติมน้ำทะเลสะอาดผ่านการกรองลงในถังเพาะพันธุ์เพียงครึ่งถัง และฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอุลตร้าไวโอเลต ไม่ต้องเปิดให้น้ำผ่าน ให้เฉพาะอากาศเบา ๆ เท่านั้น
3. ปิดห้องควบคุมให้มืดและรอจนถึงเวลา 12.30 หรือ 13.00 นาฬิกา
การเพาะพันธุ์และการวางไข่
พ่อแม่พันธุ์หอยเป๋าฮื้อซึ่งอยู่แยกกันคนละถังจะเริ่มปล่อยไข่และน้ำเชื้อระหว่างเวลาเที่ยงวัน เมื่อพบว่าหอยปล่อยไข่ออกมา จะสังเกตเห็นเป็นเม็ดสีเขียวขนาดเล็กที่พื้นถังหรือข้างถังส่วนถังเพศผู้น้ำในถังจะเป็นสีขาวขุ่นจากนั้นให้ดำเนินการดังนี้คือ
1. สุ่มดูลักษณะของไข่ ไข่ที่ดีจะกลม มีวุ้นหุ้มรอบนิวเคลียสมีขนาดประมาณ 180 - 190 ไมครอน
2. สุ่มน้ำเชื้อมาตรวจนับและดูลักษณะน้ำเชื้อที่ดีจะเคลื่อนที่รวดเร็ว น้ำเชื้อที่จะใช้ผสมกับไข่ควรคำนวณให้มีความหนาแน่นไม่เกิน 500,000 เซลล์/มล. ของปริมาตรน้ำในถังไข่
3. ผสมน้ำเชื้อกับไข่เข้าด้วยกันและทิ้งไว้ 15 นาทีเพื่อให้ไข่ผสมกับน้ำเชื้อ
4. ใช้สายยางกาลักน้ำรวบรวมไข่ที่ได้รับการผสมแล้วลงในกระบอกรวบรวมไข่ ใช้ผ้ากรองขนาดตา 40/60 ไมครอน ซึ่งไข่ที่เสียและน้ำเชื้อที่ไม่ได้รับการผสมจะหลุดรอดไป
5. สุ่มนับจำนวนไข่ที่ได้ เพื่อที่จะคำนวณความหนาแน่นในการอนุบาลในถังต่อไป
การอนุบาลลูกหอยวัยอ่อน
ลูกหอยวัยอ่อนหมายถึงไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจนถึงลูกหอยขนาดความยาวเปลือก 1-2 มม. ใช้ระยะเวลาประมาณ 45 วัน โดยในช่วง 2-3 วันแรก ลูกหอยจะอาศัยอาหารจากไข่แดง(yolk)จึงต้องการเฉพาะการเปลี่ยนถ่ายน้ำและการเตรียมอาหารไดอะตอมเกาะติดให้เพียงพอเท่านั้น
การอนุบาลลูกหอยระยะวัยอ่อนมีดังนี้
1. นำไข่หอยที่ได้รับการผสมใส่ลงในถังอนุบาลทรงกรวยปริมาตร 250 ลิตร ให้มีความหนาแน่นของไข่ 5 ฟอง/มล. หรือ 1,250,000 ฟอง/ถัง
2. ให้อากาศจากก้นกรวยเพื่อป้องกันไม่ให้ไข่มารวมกันที่ก้นถังและเปิดน้ำทะเลผ่านการกรองให้ไหลผ่านในอัตรา 1 ลิตร/นาที
3. ในวันที่สองลูกหอยจะเข้าสู่ระยะว่ายน้ำ (veliger) จะถ่ายน้ำก้นถังทิ้งเพื่อให้หอยที่ตายและไม่แข็งแรงหลุดรอดออกไปและเปิดน้ำทะเลผ่านการกรองให้ไหลผ่านในอัตรา 1 ลิตร/นาทีต่อไป
4. เตรียมอาหารไดอะตอมเกาะติดชนิด Nitzchia sp. บนแผ่นอะคริลิคขนาดพื้นที่ 3,600 ตร.ซม. ซึ่งควรประกอบให้เป็นชุดล่วงหน้า 3-5 วัน
5. ในวันที่สามลูกหอยเข้าสู่ระยะเกาะ (Creeping larvae) จะย้ายลูกหอยไปอนุบาลในถัง ซึ่งเตรียมแผ่นอาหารไดอะตอมจำนวน 20-30 แผ่น โดยคำนวนให้มีความหนาแน่นของลูกหอยบนแผ่นล่ออาหาร 1 ตัว/ตร.ซม.
6. ขณะปล่อยลูกหอยลงเกาะจะเบาอากาศและหยุดเปิดน้ำไหลผ่านเป็นเวลา 1 - 2 วัน และจะเปิดน้ำผ่านการกรองละเอียดให้ไหลผ่านในอัตรา 1 - 2 ลิตร/นาที เมื่อเห็นลูกหอยลงเกาะหมดแล้ว
7. เปลี่ยนแผ่นล่ออาหารเมื่ออาหารหมดหรือให้ไดอะตอมเกิดขึ้นในถังอนุบาล
8. หมั่นดูดตะกอนและทำความสะอาดแผ่นอาหาร แล้วย้ายลูกหอยไปเลี้ยงกลางแจ้งเมื่อมีขนาดความยาวเปลือก 2 มม. ขึ้นไป
การอนุบาลลูกหอยวัยรุ่น
ลูกหอยวัยรุ่นหมายถึงลูกหอยจากขนาดความยาวเปลือก 2 มม. ถึงขนาดความยาวเปลือก 5 มม. ซึ่งระยะแรกลูกหอยยังคงกินอาหารไดอะตอมเกาะติด แต่เมื่อลูกหอยมีขนาด 3 มม. ขึ้นไปก็จะให้สาหร่ายผมนางสับละเอียดเป็นอาหารเสริมได้แล้ว ลูกหอยขนาด 3 มม. จะใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ 1 เดือนจะมีขนาด 5 มม. สามารถนำไปเลี้ยงต่อโดยให้สาหร่ายผมนางอย่างเดียวได้แล้ว
การอนุบาลลูกหอยระยะวัยรุ่นมีหลักการดังนี้
1. ย้ายลูกหอยพร้อมแผ่นล่ออาหารมาอนุบาลในถังไฟเบอร์กลาสกลางแจ้ง และเริ่มให้สาหร่ายผมนางสับเมื่อลูกหอยมีขนาด 3 มม. ขึ้นไป เปิดน้ำทะเลผ่านการกรองทรายให้ไหลผ่านในอัตรา 1-2 ลิตร/นาที
2. เปลี่ยนแผ่นอาหารไดอะตอมเมื่อลูกหอยกินหมดแล้ว หรือให้ปุ๋ยเพื่อให้ไดอะตอมเกิดขึ้นในถังอนุบาล
3. อัตราการเจริญเติบโตของลูกหอยระยะนี้จนถึงขนาดความยาวเปลือกประมาณ 3-4 ซม. จะใช้เวลา 1 ปี และขนาด 6-7 ซม.จะใช้เวลา 2 ปี
http://www.thaifeed.net/animal/abalone/abalone-7.html
หอยเป๋าฮื้อ จากธรรมชาติสู่ฟาร์มเลี้ยง
หอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารโอชะที่ยั่วน้ำลายนักชิมมาแต่ไหนแต่ไร บนโต๊ะอาหารในภัตตาคารจีนระดับหรูยามมิตรสหายพร้อมหน้า นอกจากอาหารเลอเลิศนานา ที่ขาดไม่ได้คือเมนูหอยเป๋าฮื้อต่าง ๆ ไม่ว่าเป๋าฮื้อนึ่งซีอิ้ว เป๋าฮื้อน้ำแดง ฯลฯ แม้ว่าหอยเป๋าฮื้อจัดเป็นอาหารทะเลราคาแพง แต่นักชิมตัวยงย่อมไม่พลาดลิ้มรสเมื่อมีโอกาส
นอกจากรสชาติอร่อยนุ่มลิ้นอย่างที่คนเคยลองทราบดี หอยเป๋าฮื้อยังมีจุดเด่นด้านคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงในขณะที่มีแคลอรีต่ำ หอยเป๋าฮื้อจึงกลายเป็นอาหารยอดนิยมของคนหลายชาติ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน และหลายประเทศในแถบยุโรป รวมทั้งอเมริกา เม็กซิโก ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
กล่าวได้ว่าหอยเป๋าฮื้อเป็นสัตว์ทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจระดับโลกมาเป็นเวลานาน เดิมผลผลิตหอยเป๋าฮื้อมาจากการจับจากธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหอยเป๋าฮื้อในเขตอบอุ่น ทว่า ๓๐ ปีที่ผ่านมาประชากรหอยเป๋าฮื้อในธรรมชาติลดจำนวนลงมาก สาเหตุหลักมาจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และการทำการประมงที่มากเกินพอดี รวมถึงหอยเป๋าฮื้อใช้เวลานานกว่าจะเติบโตได้ขนาดที่ตลาดต้องการ คือมีน้ำหนัก ๓๐๐ กรัมขึ้นไป ในขณะที่ปริมาณความต้องการบริโภคของตลาดทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ จึงมีหลายประเทศให้ความสนใจเริ่มเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเพื่อรองรับความต้องการของตลาด
การเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเริ่มต้นเมื่อประมาณ ๔๐ ปีที่ผ่านมาในประเทศจีนและญี่ปุ่น ก่อนแพร่ขยายไปหลายประเทศทั่วโลก แม้ผลผลิตหอยเป๋าฮื้อจากการเพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา แต่มีตัวเลขประมาณการว่า ช่องว่างของความต้องการหอยเป๋าฮื้อของตลาดโลกกับกำลังการผลิตยังคงสูงถึง ๕,๐๐๐ ตันในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ ดังนั้นการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อจึงเป็นหนทางที่น่าสนใจยิ่ง
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานในประเทศไทยที่ให้ความสนใจการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ องค์กรหนึ่งคือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งมี รศ. ดร. เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ผู้จัดการเครือข่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมพืชและสัตว์น้ำ เป็นผู้ริเริ่มตั้งกลุ่มโครงการวิจัยหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์ขึ้น
รู้จักหอยเป๋าฮื้อ
หอยเป๋าฮื้อมีชื่อภาษาอังกฤษว่า แอบะโลนี (Abalone) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังประเภทหอยฝาเดียว คือมีเปลือกเดียว หอยเป๋าฮื้อทั่วโลกที่มีรายงานและทราบชนิดแล้วในขณะนี้มีประมาณ ๑๐๐ ชนิด ชนิดที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจมีประมาณ ๒๐ ชนิด หอยเป๋าฮื้อทุกชนิดในโลกจัดอยู่ในวงศ์ฮาลิโอทิดี (Family Haliotidae) สกุลฮาลิโอทิส (Genus Haliotis) พบอาศัยอยู่ตั้งแต่ในเขตอบอุ่นจนถึงเขตร้อน โดยหอยเป๋าฮื้อที่พบในเขตอบอุ่นจะมีขนาดใหญ่กว่าที่พบในเขตร้อน หอยเป๋าฮื้อขนาดใหญ่ที่สุดที่พบมีความยาวเปลือกถึง ๒๗ เซนติเมตร มีน้ำหนักรวมทั้งเปลือกถึง ๑.๗ กิโลกรัม
ลักษณะทั่วไปของหอยเป๋าฮื้อ จะมีเปลือกเดียวที่ค่อนข้างแบน รูปทรงค่อนข้างกลมจนถึงยาวรี เปลือกหอยมีหลายสี เช่น สีเขียวมะกอก สีแดง สีส้ม แตกต่างกันไปตามชนิดของหอย แหล่งอาศัย และอาหารที่มันกิน ลักษณะเด่นของหอยเป๋าฮื้อก็คือ แนวของรูที่เรียงตามขอบด้านบนของเปลือก เป็นที่มาของชื่อที่คนไทยเรียกว่า หอยร้อยรู รูเปิดเหล่านี้มีไว้ช่วยถ่ายเทน้ำผ่านตัวเพื่อช่วยในการหายใจ รวมทั้งเป็นทางขับถ่ายของเสียและปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ออกมาสู่ภายนอก
หากจับหอยเป๋าฮื้อที่ยังมีชีวิตหงายขึ้น จะเห็นส่วนสำคัญของร่างกายที่มีขนาดใหญ่ ก็คือกล้ามเนื้อตีนที่หนาและแข็งแรง อวัยวะอื่น ๆ ได้แก่ ตา หนวด และอวัยวะสืบพันธุ์ใต้ทะเลที่มีความลึก ๒-๗ เมตร ตั้งแต่ระดับน้ำขึ้นน้ำลงที่ชายฝั่ง จนถึงระดับที่แสงแดดส่องถึงตามบริเวณแนวหินและแนวปะการัง คือที่อาศัยของหอยเป๋าฮื้อ มันชอบน้ำใสสะอาด ไหลเวียนถ่ายเทดี มีความเค็มค่อนข้างสูงและคงที่ ตอนกลางวันหอยเป๋าฮื้อจะหลบแสงพักผ่อนอยู่ในซอกหลืบที่ค่อนข้างมืด และออกหากินในเวลากลางคืน
นับแต่ลูกหอยเป๋าฮื้อลงเกาะ ณ ที่แห่งใด มันจะอาศัยบริเวณนั้นและเคลื่อนย้ายไปไม่ไกลนัก เวลาออกหาอาหาร มันจะอาศัยการเดิน โดยใช้กล้ามเนื้อตีนที่แข็งแรงเกาะยึดและไต่เดินไปตามพื้นผิวแข็ง อาหารของหอยเป๋าฮื้อในธรรมชาติคือสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชทะเลที่เกาะติดอยู่ตามก้อนหินและแนวปะการัง เช่น ไดอะตอมประเภทเกาะติด (benthic diatoms) หรือสาหร่ายขนาดเล็กที่เกาะตามโขดหินใต้น้ำ ทั้งสาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีน้ำตาล และสาหร่ายสีเขียว หอยเป๋าฮื้อจะเดินไปอย่างช้า ๆ พร้อมแทะเล็มไปตามพื้นผิวที่มีอาหารดังกล่าวไปเรื่อย ๆ เหมือนวัวเล็มหญ้า ขณะเดียวกันเมื่อมีศัตรูคุกคาม หอยเป๋าฮื้อจะใช้กล้ามเนื้อขายึดเปลือกให้ปิดลงแนบกับพื้นผิวที่เกาะอย่างหนาแน่น ทำให้ส่วนลำตัวของมันปลอดภัยอยู่ภายใต้เปลือก กล้ามเนื้อตีนจึงถือเป็นอวัยวะที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของหอยเป๋าฮื้อ ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนที่มนุษย์กินเป็นอาหาร
ในเขตทะเลไทย พบหอยเป๋าฮื้อ ๓ ชนิด ได้แก่ Haliotis asinina, Haliotis ovina และ Haliotis varia โดย รศ. ดร. เผดิมศักดิ์กล่าวว่า ชนิดที่มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงและควรส่งเสริมให้เกิดการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย คือ ฮาลิโอทิส แอสสินิน่า ฮาลิโอทิส แอสสินิน่า เหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากศักยภาพสามด้าน ได้แก่ การมีสัดส่วนเนื้อที่บริโภคได้และอัตราการเติบโตสูงสุดในบรรดาหอยเป๋าฮื้อทุกชนิดทั่วโลก และยังสามารถควบคุมทุกขั้นของวงจรชีวิตได้โดยการใช้ลูกพันธุ์จากโรงเพาะฟัก และการเลี้ยงแบบฟาร์มบนบกในระบบน้ำหมุนเวียนแบบกึ่งปิด
ฟาร์มเพาะพันธุ์ที่เกาะสีชัง
เรานั่งเรือข้ามมาถึงเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ จุดหมายอยู่ที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต เกาะสีชัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของฟาร์มเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อนั่นเอง
สองวันก่อน คือวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ่อพันธุ์หอยเป๋าฮื้อพันธุ์ฮาลิโอทิส แอสสินิน่า จำนวน ๑๙๓ ตัว และแม่พันธุ์ ๑๙๐ ตัวที่มีสภาพสมบูรณ์เพศพร้อมผสมพันธุ์ ได้ถูกคัดออกมาเพื่อนำเข้า ห้องมืด ที่ใช้เพาะพันธุ์ หรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า ห้องหลอกหอย
ขณะหอยเป๋าฮื้อเขตอบอุ่นผสมพันธุ์เพียงปีละครั้ง แต่หอยเป๋าฮื้อเขตร้อน เช่น ฮาลิโอทิส แอสสินิน่า สามารถผสมพันธุ์ได้ทั้งปี คืนพระจันทร์เต็มดวงแต่ละเดือน ระดับน้ำทะเลที่ขึ้น-ลงสูงสุดจะกระตุ้นให้หอยเป๋าฮื้อปล่อยไข่และน้ำเชื้อออกมาผสมกันเพื่อสืบเผ่าพันธุ์
ทว่าเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการเพาะพันธุ์ต้องง่วงเหงาหาวนอนทำงานตลอดคืน จึงเกิดการ หลอกหอย หรือนำหอยมาปรับเวลา ยามกลางวันห้องมืดถูกปิดไฟจนมืดสนิท ขณะกลางคืนเปิดไฟสว่าง พ่อแม่พันธุ์หอยเป๋าฮื้อจะสับสนว่ากลางวันเป็นกลางคืน และกลางคืนเป็นกลางวัน ก่อนถูกกระตุ้นให้ผสมพันธุ์
ฟาร์มเพาะพันธุ์ตั้งอยู่ริมทะเล บ่อเลี้ยงลูกหอยเรียงรายในโรงเรือนไร้ผนัง ตั้งเสาและหลังคาคลุม ส่วนห้องมืดอยู่ภายในอาคารอีกหลังหนึ่ง กั้นเป็นสัดส่วนด้วยแผงผ้าใบหนาสีดำเข้ม สุนทร เทพมูล หรือพี่ปุ้ม เจ้าหน้าที่ประจำฟาร์มเพาะฯ เล่าว่า พ่อแม่พันธุ์รุ่นนี้ถูกนำเข้าห้องมืดเพื่อปรับเวลาตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พอวันที่ ๓๐ ก็ลงมือ กระตุ้น ถึงวันที่ ๑ ธันวาคม หอยก็ออกไข่ชุดแรกนับได้ ๘๔๕,๐๐๐ ฟอง
วันที่ ๒ ธันวาคม พี่ปุ้มพาเราเข้าสำรวจห้องมืด พ่อพันธุ์ทั้งหมดอยู่ในบ่อขนาด ๑ เมตร x ครึ่งเมตร สูงราวครึ่งเมตร แยกกับกลุ่มแม่พันธุ์ที่อยู่ในบ่อขนาด ๒ เมตร x ครึ่งเมตร สูงครึ่งเมตร พ่อแม่พันธุ์ทั้งหมดมาจากการเพาะเลี้ยง มีขนาด ๔-๕ เซนติเมตร เรียกว่ากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ราวสิบเอ็ดโมงเช้า เจ้าหน้าที่ลงมือกระตุ้นหอย โดยปล่อยน้ำออกให้แห้งทั้งบ่อพ่อและแม่พันธุ์ ทิ้งไว้ ๑๕ นาที จึงปล่อยน้ำเข้าไปในปริมาณหนึ่งในสี่ของบ่อ พี่ปุ้มบอกว่า หอยจะเริ่มปล่อยไข่และน้ำเชื้อหลังจากนี้ไปจนกระทั่งบ่ายสองโมงครึ่ง
บ่ายสองโมงเรากลับเข้าห้องมืดอีกครั้ง หอยแม่พันธุ์ที่บ้างเกาะอยู่นิ่ง บ้างคืบคลานไปตามก้นหรือข้างบ่อ หลายตัวปล่อยไข่มองเห็นเป็นทางสีฟ้าสดใสกระจายเป็นหย่อม ๆ ส่วนน้ำในบ่อพ่อพันธุ์กลายเป็นสีขาวขุ่นจากน้ำเชื้อที่ตัวผู้ปล่อยออกมา พี่ปุ้มใช้ขันตักน้ำจากบ่อพ่อพันธุ์มาเทลงในบ่อแม่พันธุ์
เราออกมานอกห้องมืดอีกครั้ง ปล่อยให้กิจกรรมจับคู่อันชุลมุนของอสุจิและไข่นับแสนฟองดำเนินไปเป็นเวลาราว ๑๕ นาที พี่ปุ้มจึงเข้าไปกรองไข่ที่ปฏิสนธิแล้วมาสุ่มนับใต้กล้องจุลทรรศน์ ระหว่างนั้นพี่ปุ้มอธิบายว่า หากปล่อยพ่อและแม่พันธุ์ในบ่อเดียวกัน ปริมาณน้ำเชื้อของตัวผู้อาจเข้มข้นเกินไป ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่อสุจิหลายตัวรุมเจาะไข่ใบเดียวกัน ทางวิชาการเรียกว่าโพลีสเปิร์มมี (polyspermy) ภาษาชาวบ้านทางนี้เรียกว่า ไข่ระเบิด นั่นคือไข่เสีย ไม่อาจแบ่งเซลล์เป็นตัว หรือได้ตัวอ่อนที่ผิดปรกติ และตายในที่สุด
พี่ปุ้มสรุปขั้นตอนการเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อให้ฟังว่า พ่อแม่พันธุ์ชุดหนึ่งจะถูกกระตุ้นให้ผสมพันธุ์จนกว่าจะได้ไข่จำนวนที่ต้องการประมาณ ๕-๖ ล้านฟอง แต่ทำการกระตุ้นไม่เกิน ๗ วัน หากมากกว่านั้นจะทำให้หอยบอบช้ำเกินไป เดือนหนึ่งฟาร์มแห่งนี้ทำการเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อจำนวนสองรอบ
ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วที่ได้ในแต่ละวัน หลังจากถูกกรองเพื่อนำไปสุ่มนับจำนวน จะถูกย้ายไปใส่ถังกลมความจุขนาด ๑ ตัน ด้วยความหนาแน่นของไข่ประมาณ ๕ แสนฟองต่อหนึ่งถัง ไข่จะเริ่มแบ่งเซลล์จากหนึ่ง เป็นสอง...สาม เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ ๕-๘ ชั่วโมงจึงฟักออกจากไข่ เป็นหอยระยะตัวอ่อนที่ว่ายน้ำ (swimming larvae) ตัวอ่อนระยะนี้ประกอบด้วยตัวอ่อนในระยะทรอโคฟอร์ (swimming trochophore larvae) ซึ่งว่ายน้ำได้ และตัวอ่อนระยะเวลิเจอร์ (veliger) ซึ่งจะล่องลอยอยู่ในน้ำ และมีพฤติกรรมเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่าง จากนั้นพัฒนาเป็นตัวอ่อนที่คืบคลาน เรียกระยะนี้ว่า ระยะคืบคลาน (creeping stage)
หลังจากอยู่ในถังกลมประมาณ ๒๒-๒๔ ชั่วโมง หอยตัวอ่อนระยะคืบคลานช่วงต้นจะถูกกรองเพื่อสุ่มนับจำนวนอีกครั้ง แล้วถูกย้ายไป บ่อลงเกาะ ลักษณะเป็นบ่อผ้าใบสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง ๑ เมตร ยาว ๘.๕๐ เมตร มีแผ่นอาหารซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกใสมีเบนทิคไดอะตอมเกาะติดอยู่ เรียงเป็นแผงจมน้ำอยู่ในบ่อ
เมื่ออยู่ในบ่อลงเกาะ ตัวอ่อนในระยะนี้จะคืบคลานไปมาบนพื้นบ่อ สลับกับการว่ายน้ำ แล้วค่อย ๆ ใช้เวลาในการคืบคลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตัวอ่อนที่คืบคลานอย่างเต็มตัว ไม่อาจกลับไปว่ายน้ำได้อีก ประมาณ ๓-๔ วันนับแต่ย้ายมาบ่อลงเกาะ หอยจะพัฒนาอีกขั้น เปลี่ยนเป็นหอยวัยเกล็ด (spat) และเริ่มลงเกาะ (settling) นับจากนี้ลูกหอยจะเกาะติดกับแผ่นอาหาร และขูดกินเบนทิคไดอะตอมบนพื้นผิวพลาสติกไปเรื่อย ๆ หอยระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง คือ เริ่มสร้างเปลือกและรูหายใจ
ลูกหอยจะถูกอนุบาลในบ่อลงเกาะราว ๒ เดือนครึ่ง จนมีขนาดประมาณ ๓-๕ มิลลิเมตร จึงถูกย้ายไปฝึกกินอาหารเม็ดใน บ่ออาหารเม็ด ลักษณะเป็นบ่อผ้าใบ ความหนาแน่นของหอยราวหมื่นตัวต่อบ่อ ในตอนกลางวันหอยจะหลบแสงเกาะอยู่ใต้ บ้านหอย คือแผ่นพีวีซีที่วางไว้ก้นบ่อ กลางคืนค่อยออกมากินอาหารเม็ดที่คนเลี้ยงโปรยให้ตามเวลา
หอยจะถูกเลี้ยงในบ่ออาหารเม็ดประมาณ ๓ เดือน จนมีขนาด ๒ เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ทำการทดสอบแล้วว่าสามารถนำไปเลี้ยงต่อในฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในรูปแบบการทำฟาร์มบนบกในระบบน้ำหมุนเวียนแบบกึ่งปิด เพื่อให้เป็นหอยขนาดตลาดได้อย่างปลอดภัย จึงถูกส่งต่อขึ้นฝั่งไปยังฟาร์มเลี้ยงที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี
พี่ปุ้มกล่าวว่า "ลูกหอยเป๋าฮื้อมีอัตราการฟักจากไข่เป็นตัวประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ และจากหอยวัยอ่อนระยะว่ายน้ำ จะเหลือรอดเป็นลูกหอยระยะลงเกาะไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ และในขั้นหอยขนาด ๓-๕ มิลลิเมตร โตเป็นหอยขนาด ๒ เซนติเมตร มีอัตราการรอดประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์"
เยี่ยมฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้ออ่างศิลา
สถานีวิจัยสัตว์ทะเลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้งของฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อให้ได้ขนาดตลาด ฟาร์มแห่งนี้ใช้ระบบการเลี้ยงแบบ "ฟาร์มบนบกในระบบน้ำหมุนเวียนแบบกึ่งปิด"
หลักการเบื้องต้นของระบบการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้ออยู่ที่ มีน้ำทะเลใสสะอาด ความเค็มสูง ไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา ระบบน้ำหมุนเวียนแบบกึ่งปิด หมายถึง สูบน้ำทะเลคุณภาพดีเข้าสู่ระบบเลี้ยงเพียงครั้งเดียว น้ำที่ผ่านบ่อเลี้ยงจะถูกกรอง และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ การเติมน้ำใหม่เข้าสู่ระบบ ไม่ว่าน้ำจืดหรือน้ำทะเล เพื่อปรับคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น สามารถทำได้ แต่น้ำที่เติมเข้าไปมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับน้ำในระบบ
บ่อเลี้ยงหอยที่เราเห็นเรียงรายอยู่ในโรงเลี้ยง ลักษณะเป็นบ่อผ้าใบสี่เหลี่ยมแบบยาว ขนาด ๑ x ๑๐ x ๐.๗ ลูกบาศก์เมตร มีทางน้ำเข้าและออกอยู่คนละด้าน ระบบให้อากาศส่งผ่านท่อพีวีซีที่เดินเป็นแนวเหนือตัวบ่อ มีสายยางต่อออกจากท่อพีวีซีเป็นช่วง ๆ หัวทรายปลายสายยางจมอยู่ใต้น้ำ ส่งฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาตลอดความยาวบ่อเลี้ยง
น้ำจากบ่อเลี้ยงจะไปสู่ระบบกรองโดยผ่านรางน้ำแบบเปิด ซึ่งมีข้อดีคือ ง่ายต่อการทำความสะอาด และไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ส่วนบ่อกรองแบบชีวภาพ ประกอบด้วยสามส่วนย่อย ได้แก่ บ่อตกตะกอน, บ่อกรองสามชั้น (เปลือกหอยนางรม ถ่าน และทราย) และบ่อเก็บน้ำ น้ำจากบ่อกรองถูกสูบขึ้นไปยังถังจ่ายน้ำ ซึ่งถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับสูงพอที่จะมีแรงดันจ่ายน้ำให้แก่บ่อเลี้ยงทั้งหมด น้ำจากถังจ่ายน้ำจะเวียนกลับไปสู่บ่อเลี้ยงอีกครั้ง ส่วนน้ำจากภายนอกที่จะนำเข้าสู่ระบบ ต้องผ่านบ่อฆ่าเชื้อและปรับคุณภาพน้ำก่อน
ในตอนกลางวัน หอยเป๋าฮื้อจะหลบแสงอยู่ในบ้านหอย ซึ่งใช้ถังพลาสติกสีดำทรงกลมความจุประมาณ ๒๐ ลิตรมาดัดแปลง โดยเจาะรูที่ก้นถังและด้านข้าง แล้วคว่ำลงที่ก้นบ่อเลี้ยง
บุญขิน กำทองดี เจ้าหน้าที่ฟาร์มฯ หงายบ้านหอยถังหนึ่งให้เราดู ใต้นั้นมีหอยเป๋าฮื้อขนาด ๔-๕ เซนติเมตรเกาะอยู่เต็มไปหมด เขาใช้แผ่นก้านพลาสติกแซะหอยสองสามตัวใส่กะละมังเล็กมาให้เราดูใกล้ ๆ หอยเริ่มออกเดิน กล้ามเนื้อเท้าแผ่ออกล้นเปลือก พะเยิบเป็นริ้วยามมันเคลื่อนตัว ขนเส้นเล็ก ๆ รอบตัวพลิ้วรุ่ยร่ายอยู่ในน้ำ หนวดยาวสองเส้นด้านหัวก็ชูส่ายไปมาน่าตลก
บุญขินอธิบายว่า นอกจากหน้าที่ทำความสะอาดบ่อและให้อาหารในแต่ละวัน ทุกเดือนเขาต้องทำการคัดหอยที่มีขนาดเท่ากันไปไว้บ่อเดียวกัน ไม่เช่นนั้นหอยตัวเล็กจะกินอาหารไม่ทันตัวที่โตกว่า บ่อเลี้ยงหอยจึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือบ่อเลี้ยงหอยขนาด ๒-๓ เซนติเมตร, บ่อเลี้ยงหอยขนาด ๓-๔ เซนติเมตร และบ่อเลี้ยงหอยขนาด ๔-๕ เซนติเมตร
ลูกหอยเป๋าฮื้อขนาด ๒ เซนติเมตรจากเกาะสีชังจะถูกเลี้ยงที่ฟาร์มแห่งนี้เป็นเวลา ๘-๑๒ เดือน กระทั่งมันมีขนาด ๕ เซนติเมตร เป็นหอยเป๋าฮื้อที่โตได้ขนาดตลาด ที่เรียกว่า หอยเป๋าฮื้อขนาดค็อกเทล พร้อมส่งขายให้ลูกค้า ได้แก่เกษตรกรที่สนใจนำไปเลี้ยงต่อ รวมทั้งภัตตาคารที่ซื้อไปทำอาหาร และโรงงานซื้อไปผลิตเป็นอาหารกระป๋อง
รศ. ดร. เผดิมศักดิ์กล่าวว่า หอยเป๋าฮื้อของไทยสามารถส่งขายได้แบ่งเป็นสองตลาด ได้แก่ หอยเป๋าฮื้อขนาดคอกเทล น้ำหนัก ๓๐-๕๐ กรัมต่อตัว หรือ ๒๐-๓๐ ตัวต่อกิโลกรัม แต่หากเลี้ยงต่อไป ก็จะเป็น หอยเป๋าฮื้อขนาดสเต็ก น้ำหนัก ๑๐๐ กรัมต่อตัว หรือ ๑๐ ตัวต่อกิโลกรัม มีระยะเวลาการเลี้ยงนับจากหอยขนาด ๒ เซนติเมตร ประมาณ ๑๘-๒๔ เดือน
การทำฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อบนบกในระบบน้ำหมุนเวียนแบบกึ่งปิด จัดเป็นระบบผลิตเชิงพาณิชย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะในระบบ จึงเป็นระบบการเลี้ยงที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัยทั้งต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
อนาคตหอยเป๋าฮื้อไทย
รศ. ดร. เผดิมศักดิ์ฝากถึงเกษตรกรและผู้สนใจว่า ถึงวันนี้ระบบการผลิตหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยมีศักยภาพความเป็นไปได้สูงในเชิงพาณิชย์ เพื่อส่งขายทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เนื่องจากมีความมั่นคงของแหล่งที่มาของลูกพันธุ์ เพราะฟาร์มเพาะพันธุ์ที่เกาะสีชังมีกำลังผลิตลูกพันธุ์หอยที่ความยาวเปลือก ๒ เซนติเมตร จำนวน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ตัวต่อเดือน โดยสามารถขยายกำลังผลิตเป็น ๑ แสนตัวต่อเดือนได้ เพื่อป้อนให้เกษตรกรผู้สนใจนำไปเลี้ยงต่อจนถึงขนาดตลาด ทั้งยังมีโครงการวิจัยเชิงรุกที่ต่อเนื่องสนับสนุนอีกหลายโครงการ เช่น การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรหอยเป๋าฮื้อธรรมชาติ, โปรแกรมการคัดเลือกเพื่อการผสมพันธุ์หอยเป๋าฮื้อไทย, การทดสอบกระบวนการผลิตหอยเป๋าฮื้อกระป๋อง เป็นต้น
เขาสรุปว่า "หอยเป๋าฮื้อไทยจัดเป็นสัตว์น้ำที่มีศักยภาพ มีลู่ทางที่แจ่มใส มีจุดเด่นด้านระบบการผลิต และคุณภาพส่วนตัวที่โดดเด่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหอยเป๋าฮื้อในตลาดโลกปัจจุบัน ณ วันนี้ประเทศไทยมีปัจจัยหลายประการที่จะเรียกได้ว่าเป็นศักยภาพที่จะผลิตหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยเข้าสู่ตลาดได้ในปริมาณ ๑๐ ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของปริมาณความต้องการที่ยังขาด หรือประมาณ ๕๐๐-๑,๐๐๐ ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๑,๕๐๐-๓,๐๐๐ ล้านบาท"
หมายเหตุ : ขณะนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดตั้ง "โครงการต้นแบบระบบการทำฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อไทยเชิงพาณิชย์" หรือ CU Abalone Consultant เพื่อให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและการจัดตั้งฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐-๒๒๑๘-๘๑๖๓ หรือเว็บไซต์ www.thai.net/CU_abalone
http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87-7303.html