-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 317 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

ประมง




หน้า: 1/2


กำลังปรับปรุงครับ


ภาวิณี สุดาปัน

เลี้ยงจระเข้ สร้างงาน สร้างเงิน รวยเอารวยเอา

มีเรื่องขำขันมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มูลเหตุของเรื่องมันมีอยู่ว่า สองสามีภรรยาคู่หนึ่งมีอาชีพทำมาค้าขาย ทุกเช้าทั้งสองจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจ่ายตลาดกันทุกวัน เพื่อซื้อปลาหมึกสดและลูกชิ้นมาเสียบไม้ขายอีกทีหนึ่ง (เจ้านี้น้ำจิ้มปลาหมึกรสเด็ดจริงๆ ขอบอก)

พอซื้อของเสร็จก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน สามีก็ติดเครื่องรถรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนภรรยาก็เดินหอบหิ้วปลาหมึกสดกับลูกชิ้นมาเต็มสองมือ แต่ยังเดินไม่ทันจะได้ก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ สามีก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความเร็ว พอขับไปสักพักถึงปากซอยที่จะเข้าบ้าน นึกขึ้นมาได้ว่าลูกยังไม่มีอาหารเช้ากิน เขาก็เลยเอี้ยวตัวไปข้างหลัง ปากก็สั่งภรรยาว่า ให้ไปซื้อโจ๊กหนึ่งถุง

ด้วยความตกใจที่ไม่เห็นภรรยาซ้อนท้ายมาด้วย แกก็บึ่งรถกลับบ้านไปถามญาติที่บ้านว่า "เมียข้ากลับบ้านหรือยัง" ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังไม่เห็นมาเลย ก็ไปตลาดด้วยกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่มาด้วยกัน

ป่านนี้เมียเองไม่ตกรถตายไปแล้วหรือ" ฝ่ายสามีก็ตอกกลับว่า "ถ้าตกรถป่านนี้มันคงตายไปแล้วมั้ง" ด้วยความบังเอิญภรรยานั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับมา ได้ยินสามีตนพูดไปดังนั้น ด้วยความโมโหและน้อยใจ ภรรยาก็เลยเอาฝ่ามือตบฉาดไปที่กกหูของสามีอย่างแรง แดงเป็นเทือกเลย คนอะไรจะลืมเมียภรรยาได้ขนาดนี้ เหลือเชื่อจริงๆ คนแบบนี้ก็มีด้วยในปัจจุบัน

ที่แกเป็นแบบนี้เพราะว่าแกกินเหล้าเยอะ เลยทำให้เป็นคนขี้หลงขี้ลืม (การดื่มสุรามากๆ อาจทำให้คนเป็นโรคสมองเสื่อมได้ แต่ถ้าลืมเมียบ่อยๆ มีหวังได้นอนซดน้ำข้าวต้มทุกวันแน่) เออ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องจระเข้ละเนี่ย มันไม่เกี่ยวหรอก แต่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังก็เท่านั้นเองแหละ มาพูดถึงเรื่องจระเข้กันดีกว่า (ที่พูดถึงนี้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยแหละ ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง)

จระเข้ เป็นสัตว์ในตระกูลสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง นอกจากจระเข้แล้ว ยังมีสัตว์ชนิดอื่นๆ อีก ที่จัดอยู่ในตระกูลนี้ ไม่ว่าจะเป็น เต่า ตะพาบน้ำ กิ้งก่า จิ้งเหลน เหี้ย ตะกวด งู เป็นต้น แต่จะจัดอยู่คนละกลุ่มกัน จระเข้ เป็นสัตว์เลือดอุ่น ดำรงชีวิตอยู่ทั้งบนบกและในน้ำ กินเนื้อเป็นอาหาร มีนิสัยดุร้าย โดยส่วนใหญ่ตอนกลางคืนจะชอบอาศัยอยู่ในน้ำ ส่วนตอนกลางวันจะชอบอาศัยอยู่บนบกนอนอ้าปากผึ่งแดด (น่ากลัวมาก ผู้เขียนเห็นมากับตา เวลาจระเข้อ้าปาก เห็นฟันแหลมคมเต็มไปหมด นี่ถ้าโดนงับ คงไม่รอดแน่ๆ) บางตัวชอบไปหลบในร่มไม้ บางตัวก็ชอบลงไปแช่น้ำแต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น นี่คือพฤติกรรมอย่างหนึ่งของจระเข้ ซึ่งในอดีตกาลจระเข้เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่ง แต่ ณ ปัจจุบันนี้ จระเข้ กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับผู้ผลิต และส่งออกเนื้อ หนังจระเข้ เรียกได้ว่าทั้งตัวจระเข้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด เริ่มตั้งแต่เนื้อ ซี่โครง โดยเฉพาะบ้องตันจะเป็นส่วนที่มีเนื้อแน่นมากที่สุด คนนิยมเปิบกัน นอกจากนี้ ตัวจระเข้สามารถนำมาสตัฟฟ์ก็ได้ ชิ้นส่วนของกระดูก ฟัน กะโหลก ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ส่วนหนังจระเข้จะเป็นตัวสร้างรายได้เป็นอย่างดี นิยมนำไปทำเป็นกระเป๋า เข็มขัด เสื้อ เป็นต้น อวัยวะเพศผู้ของจระเข้สามารถนำไปตุ๋นเป็นโสม ช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศได้ดีนักแล นอกจากนี้ ยังสามารถเลี้ยง ฝึกให้เชื่อง จนสามารถแสดงโชว์ได้ ซึ่งประเทศไทยก็มีฟาร์มลักษณะนี้อยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ฟาร์มจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ท่านใดสนใจสามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทุกชิ้นส่วนของจระเข้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้เลี้ยงได้ทั้งนั้น ดังนั้น ผู้ที่เลี้ยงจระเข้คงจะมีรายได้ดีเป็นพิเศษ (เรียกว่ารวยแล้ว รวยอีก) เหมือนกับ คุณวิสูตร เอี่ยมป่าน เจ้าของฟาร์มจระเข้ขุน ที่จังหวัดปทุมธานี

คุณวิสูตร เอี่ยมป่าน ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า ผู้ใหญ่เหน่ง วัยกำลังหนุ่มแน่น พูดจาไพเราะ คุยสนุกสนานเป็นกันเองดี เป็นที่รู้จักของคนละแวกนี้ (ผู้เขียนหลงทางก็เลยถามคนละแวกนี้ ถึงได้รู้ว่าบ้านผู้ใหญ่อยู่ตรงไหน คนปทุมธานี น้ำใจงามจริงๆ)

ผู้ใหญ่เหน่ง อยู่บ้านเลขที่ 7 ตำบลหนองสามวัง อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี อาชีพปัจจุบัน รับราชการ ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ มีทั้งจระเข้ และกวาง (พันธุ์รูซ่า) กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้ ผู้ใหญ่เหน่งเล่าให้ฟังว่า "แต่ก่อนผู้ใหญ่เหน่งทำสวนส้ม บนพื้นที่ 100 ไร่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ขาดทุน ผลผลิตไม่ดี มีสาเหตุมาจากโรคบ้าง แมลงบ้าง ตนก็เลยหันมาเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ โดยหุ้นกันกับพี่ชาย เป็นธุรกิจครอบครัว แต่ก่อนพี่ชายทำงานเป็นนักข่าวอยู่สำนักพิมพ์เดลินิวส์ แต่ปัจจุบันนี้ลาออกแล้ว หันมาทำธุรกิจเลี้ยงจระเข้ ได้กำไรงามกว่าเยอะ ทำมาเป็นระยะเวลากว่า 7 ปีแล้ว ตนเริ่มจากเพื่อนสนิทมิตรสหายก่อน เพื่อนแนะนำมาอีกทีหนึ่ง ตนกับพี่ชายสนใจก็เลยติดตามเพื่อนฝูงไปดูที่ฟาร์มบ้าง ดูวิธีการเลี้ยงดูการเพาะพันธุ์ ดูพ่อแม่พันธุ์ ตนจะถนัดในเรื่องการเลี้ยงดู ส่วนพี่ชายจะถนัดเรื่องการตลาด ทั้งสองก็ทำงานร่วมด้วยช่วยกันจนสามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาจนถึงทุกวันนี้ได้"

ฟาร์มของผู้ใหญ่เหน่ง มีจระเข้จำนวนทั้งหมด 400 ตัว มีพ่อพันธุ์อยู่ 2 ตัว แม่พันธุ์ 3 ตัว อายุ 20 กว่าปี ผู้ใหญ่เหน่งซื้อมาคู่ละ 500,000 บาท ฟาร์มของผู้ใหญ่เหน่งไม่ได้เก็บพ่อแม่พันธุ์ไว้ เพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการคัดพันธุ์ หากเก็บไว้เองอาจจะไม่ได้พันธุ์ที่ดี ผู้ใหญ่เหน่งใช้พ่อแม่พันธุ์มาจากที่อื่นมากกว่า แม่พันธุ์จระเข้ของผู้ใหญ่เหน่งให้ไข่ครั้งละ 30 ฟอง ส่งโรงฟักที่จังหวัดชัยนาท อัตราการฟักรอดอยู่ที่ประมาณ 10-20 ฟอง ราคาฟักคิดฟองละ 200 บาท ถ้าฟองไหนฟักไม่ติดก็จะไม่คิดเงิน จระเข้พ่อพันธุ์จะมีขนาดใหญ่กว่าแม่พันธุ์ตัวเมียมาก

ผู้ใหญ่เหน่ง บอกว่า "ปัจจุบันนี้ จะซื้อจระเข้ที่ฟาร์มเพาะพันธุ์มาเลี้ยงจะดีกว่า เพราะฟาร์มจระเข้ของตนไม่ได้เลี้ยงแบบครบวงจร จะเลี้ยงเพื่อขายเนื้อกับหนังเท่านั้น ส่วนเรื่องการเพาะพันธุ์ขายนั้นตนกับพี่ชายไม่ได้ทำ จะทำก็เฉพาะแต่พ่อแม่พันธุ์ของตนเองเท่านั้น"

จระเข้ที่นำมาเลี้ยงเพื่อขุนขายเนื้อและหนังนั้น จะซื้อจระเข้รุ่นอายุ 1 เดือน ราคาตัวละ 2,000 บาท ซื้อมาเลี้ยงรุ่นละ 500 ตัว ส่วนอัตราการเลี้ยงรอดนั้น ถ้าหากสามารถเลี้ยงจนจระเข้มีความยาว 120 เซนติเมตร ก็สามารถขายได้ (เวลาขายจระเข้เขาจะไม่ดูที่น้ำหนักตัว แต่จะดูที่ความยาวของลำตัว) เมื่อนับจำนวนอายุ ก็ประมาณ 2 ปี กับอีก 6 เดือน ก็ส่งขายที่ตลาดได้ จระเข้แต่ละรุ่นที่เลี้ยงจำนวนทั้งหมด 500 ตัว จะขายได้เพียง 300 ตัว ส่วนอีก 200 ตัว แตกไซซ์บ้าง (แตกไซซ์คือ จระเข้ที่มีความยาวไม่ถึง 120 เซนติเมตร เพราะกินอาหารไม่เพียงพอ ก็เลยผอม แกร็น พวกนี้ต้องเลี้ยงจนกว่าจะสามารถขายได้ บางคราก็สามารถสตัฟฟ์ แล้วส่งขายได้) บางตัวก็กัดกันตาย

อาหารที่ให้กิน ผู้ใหญ่เหน่ง บอกว่า เป็นซี่โครงไก่บด เริ่มแรกอายุ 1 เดือน ให้กิน 3 วันครั้ง อายุตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 2 ปีครึ่ง ให้อาหาร (โครงไก่บด) สัปดาห์ละครั้ง ส่วนปริมาณการกินอาหารไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละตัวกินในปริมาณมากเท่าไร ต้องให้อาหารจนกว่าจระเข้จะอิ่ม หากอิ่มแล้วจะไม่กินอาหาร ส่วนพ่อแม่พันธุ์ให้อาหารเดือนละ 1 ครั้ง (ทุกครั้งที่กินอาหารจระเข้จะกินตัวละ 10 กว่ากิโลกรัม ในแต่ละเดือน)

การเลี้ยงดู ผู้ใหญ่กล่าวว่า "จระเข้เป็นสัตว์ที่ไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย ปัจจัยที่สำคัญในการดูแลก็คือ น้ำ จระเข้จะเป็นสัตว์ที่ชอบอาศัยอยู่ในน้ำ ซึ่งผู้เลี้ยงจะต้องคอยดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นถ่ายน้ำทุกครั้งที่ให้อาหารจระเข้ เพราะหากไม่ถ่ายน้ำจะทำให้น้ำสกปรก นำมาซึ่งปัญหาเรื่องโรคเท้าเปื่อยของจระเข้ ปัญหานี้มักจะพบในช่วงที่น้ำสกปรก และช่วงที่เกษตรกรทำนาข้าว อีกปัญหาหนึ่งก็คือ ปลิงเขมือบ (ตัวเล็กๆ แบนๆ) มักจะติดเข้ามาตอนที่สูบน้ำเข้าบ่อ วิธีแก้ไขก็คือ ตนจะใช้เกลือโรยผสมกับด่างทับทิมลงในบ่อจระเข้ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของบ่อจะเป็นการสิ้นเปลืองน้อยที่สุด

พฤติกรรมของจระเข้ ผู้ใหญ่เหน่งบอกว่า พฤติกรรมการกัดกันเพื่อแย่งกินอาหารเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก บางครั้งถึงตายเลยก็มี เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหา ผู้ใหญ่เหน่งจะให้อาหารจระเข้ตัวที่โตกว่ากินอาหารให้อิ่ม แล้วค่อยให้อาหารจระเข้ที่มีขนาดเล็กกินทีหลัง บางทีตนก็คัดเอาตัวที่แตกไซซ์ไว้เลี้ยงต่างหาก อีกเรื่องก็คือ พ่อแม่พันธุ์เวลาจับคู่ผู้เลี้ยงต้องคัดเลือกเป็นอย่างดีว่า พ่อแม่พันธุ์ทั้งคู่เข้ากันได้หรือไม่ หากตัวเมียไม่ยอมอาจเกิดการต่อสู้กันถึงขั้นตาย ที่ฟาร์มของผู้ใหญ่เหน่งเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาแล้ว ส่วนพฤติกรรมการงดกินอาหารมักพบเห็นในช่วงฤดูหนาว และช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ ผู้ใหญ่เหน่งบอกว่า พ่อแม่พันธุ์มักจะจำศีลอยู่ในบ่อน้ำ นานๆ จะขึ้นมาตากแดดสักที ช่วงที่ขึ้นมาตากแดดจะเป็นช่วงที่จระเข้ขึ้นมาย่อยอาหาร

การตลาด ผู้ใหญ่เหน่งบอกว่า จระเข้จะส่งขายที่โรงเชือดศรีราชาฟาร์ม จังหวัดชลบุรี กับวสันต์ฟาร์ม จังหวัดชัยนาท ฟาร์มของผู้ใหญ่เหน่งจะส่งขายทั้งเนื้อและหนัง เรียกว่าขายกันทั้งตัวเลย ราคาขาย 1 เซนติเมตร ขายได้ 40 บาท จระเข้ที่นำมาขายต้องมีความยาวของขนาดลำตัวจนถึงหางมากกว่า 120 เซนติเมตร ถ้าน้อยกว่านี้ผู้ใหญ่เหน่งจะไม่นำมาขาย

ส่วนเรื่องการชำแหละนั้น ผู้ใหญ่เหน่งไม่ค่อยทราบเท่าไร ทราบเพียงแต่ว่า ผู้บริโภคจะนิยมกินบ้องตัน (ส่วนหางของจระเข้เป็นส่วนที่เนื้อมากที่สุด) เพราะถ้าหากเป็นตรงซี่โครงนั้นเนื้อจะน้อยมาก ส่วนเรื่องรสชาติ ผู้ใหญ่เหน่ง บอกว่า เนื้อจระเข้จะมีลักษณะยุ้ยและนุ่มเมื่อเปรียบกับเนื้อวัวและเนื้อหมู เวลากินผู้ใหญ่เหน่งจะนำมาผัดใส่เครื่องเยอะ รสจัดๆ จะทำให้รสชาติดี เนื้อจระเข้รสชาติจะออกจืดๆ อร่อยหรือไม่ ท่านผู้อ่านคงต้องไปหาชิมกันแล้วละ ว่าอร่อยหรือไม่อย่างไร ผู้เขียนไม่สามารถตอบตรงนี้ได้ เพราะยังไม่เคยชิมเนื้อจระเข้เลย (แหม! ถ้าหากเนื้อจระเข้ราคาถูกค่อยน่าสนหน่อย)

ฝากความถึงพี่น้องเกษตรกรที่สนใจอยากเลี้ยงจระเข้ ผู้ใหญ่เหน่งบอกว่า ในช่วงแรกอาจจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ฟาร์มของผู้ใหญ่เหน่งใช้ไปเกือบ 3 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายต่อตัว ต่อปี 500 บาท ที่สำคัญต้องศึกษาวิธีการเลี้ยงดู ลักษณะพ่อแม่พันธุ์ที่ดี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ราคาขายทั่วไปก็ตามตลาด หากเลี้ยงเพื่อขายหนังจะได้ราคาดีหน่อย การที่จะเริ่มต้นเลี้ยงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สำคัญอยู่ที่ว่าจะสามารถบริหารจัดการตั้งแต่เริ่มเลี้ยงจนถึงการตลาด ผลผลิตได้ดีเพียงไร

หากท่านใดสนใจ หรืออยากเข้าเยี่ยมชมฟาร์มจระเข้ของผู้ใหญ่เหน่ง สามารถไปดูได้ตามที่อยู่ข้างบน หรือติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. (083) 277-3430 ยินดีให้คำแนะนำ ช่วงแรกๆ จะมีเด็กๆ นักเรียนละแวกนี้เข้ามาดูกัน แต่หลังๆ นี้ ไม่เห็นมา คงจะเบื่อกันแล้วละ ผู้ใหญ่กล่าวทิ้งท้าย



ที่มา  :  เทคโนโลยีชาวบ้าน





หน้าถัดไป (2/2) หน้าถัดไป


Content ©