ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ชาญ เห็นสิงห์ ปลูกหญ้าหน้าบ้าน เลี้ยงวัวหลังบ้าน ที่ชัยนาท
แม้วันเวลาจะล่วงผ่านมาถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว แต่ภาพในวันวานยังคงติดตรึงอยู่ในใจของ คุณลุงชาญ เห็นสิงห์ ชายวัย 56 ปี ที่ครั้งหนึ่งของชีวิตในช่วงก่อนปี 2545 ต้องประสบกับภาวะลำบากยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการทำนา ที่เป็นอาชีพหลักของครอบครัว ไม่สามารถสร้างรายได้ให้อย่างเพียงพอต่อการดำเนินชีวิต
"ตอนนั้นต้องประสบปัญหาทั้งเรื่องการระบาดของเพลี้ยในนาข้าวอย่างรุนแรง รวมถึงปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ได้ส่งผลทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ นาข้าวที่ปลูกไม่สามารถเกี่ยวได้เลย เพราะไม่ได้เสียหายจากเพลี้ย ก็ต้องแห้งตายเพราะขาดน้ำ ผมเจอปัญหาแบบนี้ 2 ปีซ้อน แย่มากช่วงนั้น จึงทำให้ครอบครัวมีภาระหนี้สินเป็นจำนวนมาก สร้างความยากลำบากอย่างแสนสาหัส" คุณลุงชาญ กล่าว
แต่สำหรับในวันนี้แล้ว ต้องถือว่า คุณลุงชาญ คือเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ และมีรายได้มาใช้จ่ายในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี โดยรายได้ขณะนี้จะมาจากการปลูกข้าว ซึ่งปีหนึ่งๆ จะมีรายได้ประมาณ 200,000 บาท และรายได้จากการตัดหญ้าแพงโกล่าจำหน่ายอีกวันละ 800 บาท นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายโคเนื้อที่เลี้ยงไว้อีกส่วนหนึ่ง
"หากมาทำนาหญ้าแล้วจนผมก็ว่า ไม่ต้องไปทำอาชีพอะไรอีกแล้ว เพราะปลูกหญ้านั้นง่ายมาก ลงทุนน้อย ไม่ต้องฉีดยาไล่แมลง เพราะไม่มีแมลงระบาดทำลาย ทำให้เราปลอดจากการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น"
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตคุณลุงชาญเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลนี้ เป็นผลสืบเนื่องที่สำคัญมาจากการเข้าร่วมในโครงการส่งเสริมการปลูกหญ้าแพงโกล่าของกรมปศุสัตว์ที่ดำเนินการขึ้นในเขตจังหวัดชัยนาท ตั้งแต่ปี 2545
ทั้งนี้ คุณปรีชา สมบูรณ์ประเสริฐ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า จังหวัดชัยนาทนั้นมีพื้นที่การเกษตร รวม 1,228,455 ไร่ โดยอยู่ในเขตชลประทาน 707,732 ไร่ ซึ่งยังมีพื้นที่อีกประมาณ ร้อยละ 40 ที่อยู่นอกเขตรับน้ำชลประทาน ทำให้เกษตรกรเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำและดินไม่อุดมสมบูรณ์
"แต่อย่างไรก็ตาม เกษตรกรก็ยังคงทำการเกษตรอย่างไม่เหมาะสมต่อไป แม้จะประสบปัญหาขาดทุนและยากจนเนื่องจากความเคยชิน กลุ่มจังหวัดและกรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมมือกันจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการเกษตร โดยสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนอาชีพจากการปลูกพืชที่ไม่เหมาะสม ไปยังอาชีพที่มีศักยภาพ และมีมูลค่าสูงเพื่อลดพื้นที่การทำนานอกเขตชลประทานที่ให้ผลตอบแทนต่ำ รวมทั้งลดพื้นที่นาปรังในเขตชลประทานลงบางส่วน"
อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ได้เน้นให้มีการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนไปทำการเกษตรแบบอื่นที่ใช้น้ำน้อยกว่า เพื่อลดปัญหาการแก่งแย่งน้ำทำการเกษตรลง โดยกรมปศุสัตว์ได้เข้าไปสนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงสัตว์ อาทิ วัว แพะ แกะ และปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทน เป็นการแก้ปัญหาและสร้างรายได้ให้เกษตรกรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยอาชีพทางเลือกที่ทางกรมปศุสัตว์ได้แนะนำให้เกิดการปรับเปลี่ยนในพื้นที่จังหวัดชัยนาทที่สำคัญอาชีพหนึ่งคือ การปลูกหญ้าแพงโกล่าจำหน่าย
ซึ่ง คุณวีระ ร่มโพธิ์ภักดิ์ ปศุสัตว์จังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมว่า "การปลูกหญ้าเป็นการช่วยสนับสนุนและพัฒนาอาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์ อันได้แก่ โคเนื้อ โคนม กระบือ แพะ แกะ ได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากเป็นการช่วยเพิ่มหญ้าคุณภาพดีให้ปศุสัตว์มีกินตลอดปี"
"หญ้าแพงโกล่านั้นสามารถปลูกได้ทั้งในพื้นที่ลุ่มเขตชลประทาน และพื้นที่ดอนที่มีการขุดสระกักเก็บน้ำ ใช้น้ำน้อยกว่าการทำนาข้าวประมาณ 3 เท่า เกษตรกรลงทุนปลูกครั้งเดียว แปลงหญ้าจะอยู่ได้นาน 5-7 ปี สามารถตัดหญ้าขายได้ทุก 45 วัน ในรอบ 1 ปี จะตัดทำหญ้าแห้งขายได้ 5-7 ครั้ง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 25,000 บาท ต่อไร่ ต่อปี อีกทั้งยังสามารถส่งเสริมให้เกษตรกรปล่อยพันธุ์ปลาลงในสระเก็บน้ำ เลี้ยงไว้เป็นรายได้เสริม ซึ่งปลาที่ได้จะเป็นผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีในแปลงหญ้า" ปศุสัตว์จังหวัดชัยนาทกล่าว
ซึ่งคุณลุงชาญนั้นถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทำนามาสู่การปลูกหญ้าแพงโกล่าจำหน่าย
พร้อมกันนี้ ด้วยความที่คุณลุงชาญเป็นผู้ใฝ่หาความรู้มาพัฒนาอาชีพอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนเกษตรกร จึงได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชัยนาทให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านปศุสัตว์อินทรีย์ เศรษฐกิจพอเพียง อีกด้วย
จากที่เริ่มต้นการปลูกหญ้าในปี 2545 เพียง 5 ไร่ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงทำให้คุณลุงชาญได้ขยายพื้นที่ปลูกหญ้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายกิจกรรมด้านการเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นด้วยการเลี้ยงโค
"ทุกวันนี้ ผมใช้แนวทางดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนาข้าวและโคที่เลี้ยงนั้นเปรียบเสมือนเงินออม นาหญ้าก็คือเงินใช้กินอยู่ทุกวัน ที่สำคัญต้องไม่สร้างหนี้ เท่านี้ก็จะทำให้ชีวิตเรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น"
"ตอนนี้มีพื้นที่ทำนาข้าว และปลูกหญ้า 40 ไร่ รวมไปถึงเลี้ยงโคด้วย โดยเป็นสายพันธุ์อเมริกันบราห์มันทั้งพันธุ์แท้และลูกผสม 62 ตัว โดยใช้พื้นที่ว่างหลังบ้านทำเป็นคอกเลี้ยง และจะมีการปล่อยให้ลงกินหญ้าแพงโกล่าในแปลงด้วย"
สำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมการเกษตรนั้น คุณลุงชาญได้แก้ไขด้วยการขุดสระเก็บน้ำเพิ่มขึ้น โดยจากเดิมที่มีเพียงสระน้ำเล็กๆ 1 สระ ได้ขุดเพิ่มออกเป็น 6 สระ และจัดทำระบบคูส่งน้ำจากสระแต่ละแห่งให้เชื่อมต่อกัน สามารถส่งน้ำไปใช้ในการทำนาหญ้าได้เพียงพอตลอดทั้งปี
"รูปแบบของการปลูกหญ้าและทำนานั้น ผมจะใช้วิธีการปลูกสลับกันไป โดยจะปลูกหญ้าไปประมาณ 3-4 ปี แล้วก็เปลี่ยนมาปลูกข้าวไประยะหนึ่ง แล้วจึงกลับไปทำนาหญ้าอีก"
คุณลุงชาญจะใช้วิธีการสลับหมุนเวียนแบบนี้ในพื้นที่ที่มีอยู่ทั้งหมด โดยจัดสรรออกเป็นแปลงๆ ว่าแปลงไหนจะปลูกข้าว แปลงไหนจะปลูกหญ้า
"สิ่งที่เราทำแบบนี้ มีผลดีมากมาย อย่างแรกเลยคือ หมดปัญหาเรื่องของการต้องไปซื้อปุ๋ยและยาฆ่าแมลง อีกทั้งต้นข้าวที่ปลูกนั้นจะมีความแข็งแรงมาก ไม่เกิดโรคเลย เหมือนมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง อันนี้ผมว่าน่าจะมีผลมาจากที่ผมไม่ได้ใช้สารเคมีเลย"
"เพราะผมไม่ใช้สารเคมีมาตั้งแต่ทำนาหญ้าแล้ว ดังนั้น ในพื้นที่ผมจึงมีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ อีกทั้งการใช้ปุ๋ยผมก็เน้นการทำปุ๋ยอินทรีย์หมักใช้เอง โดยนำเอามูลโคที่เลี้ยงไว้มาหมักรวมกับสารเร่ง พด. ของกรมพัฒนาที่ดิน รวมถึงการใช้น้ำทิ้งจากฟาร์มเลี้ยงหมูมาปล่อยในแปลงนา ซึ่งช่วยทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีมาก"
สำหรับมูลโคที่มีอยู่นั้น นอกเหนือจากการนำมาทำเป็นปุ๋ยแล้ว คุณลุงชาญยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำก๊าซชีวภาพขึ้นใช้เองในฟาร์ม โดยขณะนี้คุณลุงชาญได้มีการจัดทำบ่อก๊าซชีวภาพขึ้นตามการแนะนำของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
ซึ่งจะสามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ประมาณสัปดาห์ละ 8 ลูกบาศก์เมตร โดยการนำเอามูลวัวสดมาผสมน้ำ 1:1 ใส่บ่อหมักก๊าซขนาด 7-10 ลูกบาศก์เมตร จะได้พลังงานทดแทนจากบ่อก๊าซชีวภาพ วันละ 40 กิโลกรัม ต่อลิตร มีก๊าซสำหรับหุงต้มในครัวเรือน วันละ 1 ชั่วโมง ได้ปุ๋ยอินทรีย์วันละประมาณ 20-40 ลิตร ซึ่งใช้งบฯ ลงทุนสร้างบ่อก๊าซ 3,600 บาท ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้เดือนละ 202 บาท ทีเดียว
จากที่คุณลุงชาญได้เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก จึงทำให้ธรรมชาติคืนกลับมาในพื้นที่
"แปลงหญ้าผมไปดูเลยตอนนี้ ไส้เดือนเต็มไปหมด นี่แสดงว่าธรรมชาติกลับคืนมาแล้ว ดินของผมอุดมสมบูรณ์ปลอดภัย ไส้เดือนจึงกลับมาอยู่ ซึ่งไส้เดือนก็จะช่วยทำให้ดินของเราร่วนซุย พืชสามารถเติบโตได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม การมีไส้เดือนในแปลงหญ้ามากๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน เพราะจะมีมูลไส้เดือนในแปลงเยอะมาก ทำให้ตัดหญ้าลำบาก"
ดังนั้น เมื่อคุณลุงชาญเห็นว่า ในแปลงหญ้ามีไส้เดือนเกิดขึ้นมาก ก็จะปรับเปลี่ยนจากการปลูกหญ้ามาปลูกข้าวแทน
"ผลดีคือ ดินแปลงนั้นจะสมบูรณ์มาก ข้าวเจริญเติบโตดีมากเลย" คุณลุงชาญ กล่าว
จากแนวทางในการประกอบอาชีพที่อิงการทำเกษตรแบบอินทรีย์ จึงทำให้คุณลุงชาญได้ตั้งเป้าหมายในการประกอบอาชีพว่า มีความสนใจที่จะทำฟาร์มโคเนื้ออินทรีย์
"ซึ่งต้องสำเร็จอย่างแน่นอน" คุณลุงชาญ กล่าวในที่สุด
เร่งแก้วิกฤตควายไทยใกล้สูญพันธุ์ เหลือเพียง 1 ล้านกว่าตัว
นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ปริมาณควายในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต เนื่องจากพบว่า ช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา มีจำนวนลดลงอย่างมาก เหลือประมาณ 1 ล้านกว่าตัว จากที่เคยมีจำนวนประชากรควายมากที่สุดในโลก ในปี 2523 คือ ประมาณ 6 ล้านตัว ทว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมของรัฐไร้ทิศทาง ทำให้ประชากรควายลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันควายไทยมีเหลือประมาณ 1.3 ล้านตัว ในขณะที่ปัจจุบันประชากรควายของประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่มีจำนวนใกล้เคียงถึงมากกว่าประเทศไทยแล้วคือ มาเลเซีย 2 แสนตัว กัมพูชา 8.4 แสนตัว ลาว 1.4 ล้านตัว พม่า 1.8 ล้านตัว เวียดนาม 2.2 ล้านตัว และอินโดนีเซีย 2.8 ล้านตัว
"สำหรับสาเหตุที่ปริมาณควายไทยลดลง ก็เนื่องมาจากความนิยมในปัจจุบัน เปลี่ยนจากการใช้แรงงานควายมาเป็นการใช้เครื่องจักรในการทำนา นอกจากนี้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชากร "ควายไทย" ลดลงจนใกล้สูญพันธุ์ คือคนไทยกินเนื้อควายกันมาก โดยเฉพาะคนไทยในภาคเหนือและภาคอีสานบางส่วน โดยอาหารที่โปรดปรานของคนไทยบางกลุ่มคือ ตัวอ่อนที่อยู่ในท้องแม่ควาย" นายธีระ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้กรมปศุสัตว์ได้เตรียมพัฒนาควายพื้นเมืองให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้ควายเป็นสัตว์ที่ช่วยกู้วิกฤตเศรษฐกิจ เป็นแรงงานที่ยั่งยืนของชาวชนบทและคนไทย นอกจากนี้ ได้เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อลดการบริโภคเนื้อควายลง
อย่างไรก็ตาม จากการที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีความห่วงใยชาวนาไทยที่ประสบความยากจนจากการประกอบอาชีพการทำนา อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทรงอยากให้ชาวนาไทยกลับมาใช้ควายในการทำนา ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้น้อมรับและสนองพระราชดำริดังกล่าว โดยในปี 2552 ได้จัดทำ "โครงการพลิกฟื้นธนาคารควายไถนาตามพระราชดำริ" ขึ้น เพื่อเป็นการรณรงค์ส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวนาฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณี และเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงระบบทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว
นายธีระ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมให้เกษตรกรแต่ละชุมชนรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน พร้อมจัดหาควายมาให้เลี้ยง รายละ 2-3 ตัว โดยกรมปศุสัตว์จะให้ขอยืมควายจาก ธนาคาร โค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราช ดำริ (ธคก.) ขณะที่กองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมได้เตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ไว้ให้เกษตรกรกู้ยืมซื้อควาย จากนั้นจะเร่งฝึกอบรมวิธีการเลี้ยงควายให้เกษตรกร และฝึกควายไถนาควบคู่กันไป เพื่อให้ใช้งานได้จริง คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาประกอบอาชีพการทำนาโดยใช้แรงงานควาย ในระบบเกษตรผสมผสานแบบเศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมพื้นที่ 3,410 ไร่ สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ไร่ละ 132 บาท คิดเป็นเงิน 4.5 แสนบาท ต่อปี ลดค่าใช้จ่ายปุ๋ยเคมีโดยสามารถผลิตปุ๋ยคอกได้ปีละ 1,236 ตัน คิดเป็นมูลค่าปีละ 1.1 ล้านบาท โดยจัดโครงการนำร่องทั่วประเทศ 12 จังหวัด และในปี 2553 จะเร่งดำเนินการขยายผลโครงการอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.