-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 232 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

สัตว์เลี้ยง





......

ความน่าสนใจของปลาสวยงาม

        
ในกลุ่มประเทศทางตะวันออก ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่ได้มีการเลี้ยงปลาไว้ชมเล่นปลาที่เลี้ยงนั้นได้แก่ปลาซึ่งเป็นต้นกำเนิดของปลาทองมีลักษณะคล้าย
ปลาตะเพียนได้มีการวิวัฒนาการขึ้นโดยมีสีสรรรูปลักษณะสวยงามเป็นปลาทอง ดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ควรจะได้รับเกียรติ โดยนำมากล่าว ณ ที่นี้ เพราะศิลปวิทยา และความพากเพียรเอาใจใส่เป็นพิเศษในเรื่องการเลี้ยงปลา ทำให้เกิด "ปลาทอง" ที่สวยงามน่ารัก และน่าเลี้ยงขึ้น ต่อมาก็เป็นที่รู้จักกันภายใต้ ชื่อว่า ปลาสวยงาม ซึ่งทั้งนี้ รวมถึงปลาอื่นๆ ที่ สวยงามด้วย

        
ปลาสวยงามเริ่มเป็นที่นิยมเลี้ยงกันเมื่อใดนั้น จากหลักฐานเท่าที่พบปรากฏว่าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเลี้ยงปลา เจริญก้าวหน้ามากกว่าประเทศอื่นใดในตะวันออก นั้นเริ่มเลี้ยงปลาสวยงาม เมื่อ พ.ศ. 2468 หรือเมื่อ 35 ปี มานี้เอง ปลาสวยงามชนิดแรกที่ญี่ปุ่นเลี้ยงได้แก่
ปลาหางดาบ (Swardtails)จากนั้นอีก 2 ปี จึงค่อยมีมากชนิดขึ้น

        
ในประเทศไทย ก็คงเริ่มเลี้ยงปลา สวยงามกันบ้างเมื่อไม่ช้าไม่นานกว่าประเทศญี่ปุ่นเท่าใดนัก เพราะจากหลักฐาน เท่าที่พบปรากฏว่าเมื่อประมาณปี 2479 กรมประมงได้ร่วมมือกับกระทรวง สาธารณสุข ส่งเสริมแนะนำให้ปล่อยปลา Gambusia ซึ่งเป็นปลาชนิดหนึ่งที่กินยุงและเรียกกันว่า
ปลากินยุง ลงเลี้ยงตามบ่อและอ่างน้ำ เพื่อกำจัดยุงอันเป็นสื่อนำเชื้อ มาเลเรีย นอกจากนี้ปลาสวยงามที่มีกำเนิดในประเทศไทย เป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว เช่น ปลาซิวหางแดง ซึ่งปัจจุบันรู้จักในชื่อว่า รัสโบรา (Rasbora) ปลาข้างลาย รู้จักกันในชื่อว่า สุมาตรา หรือ Tiger barb และปลาทรงเครื่อง รู้จักกันในชื่อว่า Red-finned shark เมื่อระยะเริ่มแรกนั้นปลาสวยงามมีราคาแพงมาก ยากที่คนทั่วไปจะซื้อหามาเลี้ยงได้ทั้งนี้เพราะยังไม่แพร่หลาย

        
ในปัจจุบันนี้การเลี้ยงปลาสวยงาม กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและยังเติบโตขยายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้หลายพันล้านบาทต่อปี


ประวัติปลาสวยงาม
ไม่มีเอกสารหรือหลักฐานหลงเหลือให้เห็นว่ามนุษย์เริ่มรู้จักการนำปลาสวยงามมา เลี้ยงในที่เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไรตั้งแต่ครั้งแรก แต่เป็นเชื่อแน่ว่ามนุษย์รู้จักวิธีที่จะเก็บรักษาเนื้อปลาไว้เป็นอาหารในมื้อต่อๆไป ในหลายรูปแบบ เช่น ย่าง รมควัน หมัก เกลือ ฯลฯ นานก่อนจะเรียนรู้วิธีเลี้ยงปลาอย่างแน่นอน และสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจก็คือ มนุษย์รู้จักการเลี้ยงปลาและฝึกเลี้ยงสัตว์หลายชนิด ก่อนที่จะมาสนใจถึงการเลี้ยงปลา เช่น เช่นสุนัขที่ถูกมนุษย์จับมาเลี้ยงและฝึกให้เชื่องได้มีหลักฐานอย่างแน่ชัด ว่าได้ ดำเนินติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าหมื่นปีหรือแม้แต่แพะถูกเลี้ยงมาไม่น้อยกว่าเจ็ดพัน ปีทีเดียว บางทีอาจเป็น


ไปได้มากกว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อการเลี้ยงปลาอย่าง เช่น บ่อ เป็นต้น ไม่หลงเหลือหลักฐานมาถึงปัจจุบันบ่อที่เก่า ที่สุดเท่าที่นักโบราณคดีค้นพบคือ บ่อในยุคสุเมเรีย ซึ่งมีอายุประมาณ 4,500 ปีแล้ว ส่วนใหญ่แล้วบ่อในยุคนี้เท่าที่ค้นพบจะแย่ในศาสนสถานและคาดว่าจะเกี่ยวข้อง กับพิธีกรรมทางศาสนาของยุคนั้น แต่อย่างไรก็ดียังมีการค้นพบบ่อซึ่งคาดว่าเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและมีหลักฐานว่าที่ใช้เป็นที่เก็บกักขังปลา เพื่อใช้เป็นอาหารอย่างแน่นอน และจากสภาพของบ่อที่ปรากฏให้เห็นก็มิใช่บ่อเลี้ยงหรือ บ่อสำหรับ เพาะพันธุ์ปลา

        
การค้นพบทางโบราณคดียังชี้ลงไปอีกว่าชาวอัสซีเรีย ก็มีบ่อสำหรับกักตุน ปลาเป็นอาหารสด เช่นเดี่ยวกัน และคาดว่าชาวบาลิโลนก็คงจะมีบ่อในทำนองเดียวกันนี้อีก ส่วนชาวอียิปต์โบราณเมื่อสามพันปีมาแล้ว มีบ่อสำหรับตกปลาเป็น อาหารนอกเหนือจากบ่อเลี้ยงปลา ปลาที่ชาวอียิปต์เลี้ยงในยุคนั้นคือปลาไน ปลาในสกุล ทิลาเปีย (สกุลปลานิล) และหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็มีคันเบ็ดที่ใช้ตกปลานั่นเอง จึงเป็นที่แน่ชัดว่าการเลี้ยง ปลาในยุคนั้นเป็นไปเพื่อการยังชีพ


ชนิดของปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบัน
ปลาทอง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้มีการนำ เข้ามาเพาะขยายพันธุ์ในประเทศไทย จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีการคัดพันธุ์เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีลักษณะและสีสันแปลกออกไป นับเป็นปลาสวยงามเศรษฐกิจ ที่ได้รับความสนใจในปัจจุบัน

ปลาเสือพ่นน้ำ
 มีลักษณะตัวสั้นป้อมและแบนลำตัวด้านข้างมีลายประมาณ 3-4 ลาย ทำให้ได้ชื่อว่าปลาเสือ มีตาซึ่ง อยู่ค่อนไปทางด้านบน จึงมองเห็นเหนือน้ำได้ดี เป็นการปรับตัวให้เหมาะกับการหา แมลงกินเป็นอาหาร โดยมีการวิวัฒนาการให้เกิดร่องใต้เพดานปาก เพื่อสามารถจะพ่นน้ำออกไปเป็นลำได้ ในระยะไกลพอสมควร โดยแรงอัดของแผ่นปิดเหงือก ปลาเสือพ่นน้ำ ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิดคือ
  • 1. Toxotes chatareus เป็นปลาเสือพ่นน้ำที่อาศัยอยู่ทั่วไป
  • 2. Taxotes Jaculatrix เป็นปลาเสือพ่นน้ำที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำกร่อย
  • 3. Taxotes Microlepis เป็นปลาเสือพ่นน้ำที่มีเกล็ดเล็กถี่ มีอยู่ในภาคใต้ และแม่น้ำโขง

ปลาหมอสี
 เป็นปลาสวยงามน้ำจืดที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง แม้ว่าจะเป็นพันธุ์ ปลาที่มีถิ่นกำเนิด ในต่างประเทศก็ตาม แต่ด้วยความสามารถของเกษตรกรไทย ทำให้มีการพัฒนา เพาะขยายพันธุ์ ปลาหมอสี ส่งออก และการผลิต ปลาหมอสี สายพันธุ์ใหม่ ๆ อีกด้วยปลาหมอสีมีถิ่นกำเนิน ในทะเลสาบน้ำจืดในทวีปแอฟฟริกามี ขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 9 ของโรคชื่อ "มาลาวี" และทะเลสาบ "แทนแกนยีกา" เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และมีความลึกเป็นอันดับ 2 ของโลก และทะเลสาบวิคตอเรีย เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นปลาที่จัดอยู่ในวงศ์ ชิคลิดี ปลาชนิดนี้มีความหลากหลาย ทั้งชนิดและสายพันธุ์มีทั้งปลาบริโภค และปลาสวยงามได้แก่ ปลานิล, ปลาหมอเทศ, ปลาปอมปาดัวร์, ปลาเทวดา ปลาออสก้าร์ ฯลฯ ธรรมชาติของปลาชนิดนี้ เป็นปลาที่อดทน สามารถอดอาหารได้นับ 10 วัน

ปลาออสก้าร์  เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งซึ่งได้รับความนิยม และเป็นสินค้าประมง ส่งออกไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก เกษตรกรไทย มีศักยภาพในการพัฒนาคุณลักษณะและสีสันให้มีความสวยงามเป็นที่ดึงดูด ความสนใจมากยิ่งขึ้น

ไตรทอง
  เป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่งในตระกูลปลาหมอสี ซึ่งได้มีการพัฒนา ผสมข้ามสายพันธุ์ นับเป็นอีกผลงานหนึ่งของนักเพาะเลี้ยงปลาสวยงามชาวไทย

ปลาหางนกยูง  เป็นปลาสวยงามในกลุ่มปลาออกลูกเป็นตัวมีลักษณะ ลำตัว ครีบหาง สีสัน และลวดลายสวยงาม เป็นปลาที่เพาะเลี้ยงง่าย เจริญ เติบโตเร็ว ถ้าสนใจจะเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม หรืองานอดิเรก ด้วยการลงทุนที่ไม่สูงมากนัก



อะโรวาน่า ตะพัด หรือปลามังกร
จัดเป็น สุดยอด ปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงในกลุ่ม ผู้รักปลาสวยงาม และกลุ่มผู้มีความเชื่อถือ ว่าเป็นสัตว์น้ำ นำโชคลาภและความเป็นศิริมงคล มาสู่ตนเอง อันจะนำไปสู่ การมีคุณภาพ ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ปลากัด  เป็นปลา สวยงาม พื้นเมืองของไทย ที่นิยมเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่ อดีต ปลากัดที่มีการ เพาะเลี้ยงในประเทศไทย มี 2 ชนิดคือ ปลากัดจีน และปลากัดหม้อ หรือปลากัดไทย ชนิดที่มีการเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออกเป็นหลักคือปลากัดจีน


อาหารปลาสวยงาม (Aquarium Fish Nutrition)
การเลี้ยงปลาสวยงามเพื่อให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะเลี้ยงปลาให้มีความสมบูรณ์นั้นประกอบด้วยการจัดการที่ดี สายพันธุ์ที่เติบโตเร็ว และอาหาร ซึ่งมีความจำเป็นเพื่อการเจริญเติบโต ของปลาอันจะทำให้ปลามีคุณภาพตามความต้องการของตลาด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจความต้องการอาหารซึ่งเป็นตัวกำหนด ชนิดของอาหาร ขนาดของอาหารที่เหมาะสม ปริมาณการให้อาหาร วิธีการให้อาหาร เพราะถ้าให้มากเกินไปทำให้น้ำเน่าเสียได้ สิ้นเปลืองเวลาในการเปลี่ยน ถ่ายน้ำสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ทำให้เกิดปัญหาเรื่องโรค และปัญหาอื่นๆ ตามมา อีกมากมาย


อาหารจึงมีบทบาทสำคัญต่อการเลี้ยงปลาสวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพ การเลี้ยงที่มีความหนาแน่นสูง ขณะเดียวกันที่ผู้เลี้ยงไม่สามารถจัดเตรียมอาหารธรรมชาติให้ได้เพียงพอ การผลิตอาหารปลาสวยงาม มีหลักการเช่นเดียวกับ การผลิตอาหารทั่วๆ ไป คือ ต้องทราบความต้องการโปรตีน คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, วิตามิน และแร่ธาตุ ที่เหมาะสม เพื่อการเจริญเติบโต และผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการขาดสารอาหารที่จำเป็นชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้การเจริญเติบโตลดลงจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหรือตายได้

        
การเลี้ยงปลาทั่วไปจะนิยมใช้อาหารมีชีวิต และอาหารสำเร็จรูป โดยในระยะที่ปลามีขนาดเล็กมักจะนิยมใช้อาหารมีชีวิตแต่เมื่อปลามีขนาดใหญ่ ก็จะเปลี่ยนเป็นอาหารสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูปมีข้อดี กว่าอาหารธรรมชาติหลายประการได้แก่ สามารถที่จะควบคุมคุณภาพ ให้มีคุณภาพที่เป็นไปตามมาตรฐานที่จะทำให้เป็นที่ยอมรับของ ลูกปลา และทำให้อัตราการรอดตาย สูงด้วย ดังนั้นในการผลิตอาหาร จึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบเหล่านี้ ความสม่ำเสมอ และความคงทนในขณะที่ละลายน้ำเนื่องจาก อาหารสำเร็จรูปจะทำให้น้ำเสียได้ง่าย ขนาดของอาหารต้องปรับให้ เข้ากับการเจริญเติบโตของลูกปลา ขนาดของอาหารใหญ่ขึ้นเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น ชนิดและประเภทของอาหาร ต้องมีความเหมาะสมกับที่อยู่อาศัยของปลา ในที่นี้จะขอร่วมกับในส่วนของอาหารสำเร็จรูป จากนั้นจะตามด้วยอาหารมีชีวิต ความต้องการอาหารของปลาได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุอันจะเป็นประโยชน์ในการทำอาหารสำเร็จรูป อีกส่วนเป็นการเพาะเลี้ยงอาหารมีชีวิต ได้แก่ อาร์ทีเมีย ไรแดง หนอนนก และหนอนแดง เป็นต้น


การให้อาหารปลาสวยงาม
ข้อสำคัญ ที่ควรพิจารณาในการให้อาหารปลาสวยงาม เพื่อให้ปลาเจริญเติบโต และไม่ให้อาหาร เหลือ ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสียได้นั้น
  • 1. ปริมาณอาหารที่เหมาะสม
  • 2. ความถี่ในการให้อาหาร
  • 3. การยอมรับอาหารของปลา
  • 4. พฤติกรรมในการกินอาหาร
  • 5. กรณีที่ผู้เลี้ยงปลาไม่ค่อยมีเวลา ควรให้อาหารให้เพียงพอก่อนปล่อยให้ปลาอด (ปลาสามารถ อดอาหารได้ประมาณ 2 อาทิตย์)

ตลาดส่งออกปลาสวยงาม
จากการส่งออกปลาสวยงาม และพรรณไม้น้ำนับเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดการดำเนินงานเป็นธุรกิจ โดยมีมูลคู่หลายพันล้านบาทในแต่ละปี ปัจจุบันนี้ประเภทสินค้าส่งออก นอกจากปลา สวยงามแล้ว ยังมีพรรณไม้น้ำ อาหารปลา เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์ ตู้ปลา และเครื่องประดับตกแต่งตู้ปลา เป็นต้น


จะเห็นได้ว่า ประเทศไทย มีศักยภาพสูงในการส่งออกสินค้าดังกล่าว เนื่องจากมีปัจจัยเอื้ออำนวย หลายอย่าง อาทิ สภาพ ภูมิอากาศ คุณภาพน้ำ แหล่งอาหาร แรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยง และผู้ส่งออก ปลาสวยงามมีความสามารถ ซึ่งมีส่วนสร้างเสริมให้ธุรกิจ การส่งออกปลาสวยงาม พรรณไม้น้ำ และอื่นๆ ได้พัฒนาล้ำหน้ามีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูงสุดกรมประมงได้ตระหนัก ถึงความสำคัญในการพัฒนา ธุรกิจนี้ให้มีการขยาย ตัวและเพิ่มฐานความมั่นคงยิ่งๆ ขึ้น จึงได้จัดให้มีการอภิปราย และบรรยาย ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงาน วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 14 ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 เป็นการอภิปรายในหัวข้อเรื่อง ทำอย่างไรไทยจะครอง "ตลาดปลาสวยงามโลก"

        
ไทยจัดทำเป็นอันดับที่ 3 ในธุรกิจส่งออกปลาสวยงาม การส่งออกปลาสวยงามในต่างประเทศ ส่งออกทางอากาศเป็นส่วนใหญ่ ประเทศที่ส่งออกปลาสวยงามมากที่สุด คือ สิงคโปร์ รองลงมาคือ มาเลเซีย และไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีพื้นที่แผ่นดินกว้าง เกษตรกรมีความสามารถมาก

       
สิ่งที่ทำให้ไทย เป็นรองสิงค์โปร์ และมาเลเซีย ที่เห็นชัด ก็ในด้านการขนส่งและขาดความรู้ ความสามารถทางด้านตลาด การค้าระหว่างประเทศสิ่งที่ปรากฏชัด ก็คือ 2-3 ปีมานี้ ประเทศไทยแซงสิงค์โปร์มาแล้วแต่โดยจำนวนรวม ยังเป็นรองในตลาดยุโรป ขณะนี้ปลาสวยงามส่งเข้ายุโรปนั้น สิงค์โปร์ครองตลาดอยู่ 80% ไทย 20% สาเหตุหลักคือ ค่าขนส่งราคาถูกกว่าไทย 25% ค่าระวางจากสิงค์โปร์ไปยุโรป 1 กล่อง ประมาณ 35-40 เหรียญ สหรัฐ แต่สำหรับไทยไปยุโรป 48-55 เหรียญสหรัฐ ผลต่างจึงมีผลกระทบ ต่อราคาและต้นทุนเป็นอย่างมาก




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- ป.ปลาฝาแฝด

- ปลาสวยงาม

- Splusaquarium

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต









การเลี้ยงปลาคาร์ป

ปลาคาร์ป
การเลี้ยงปลาคาร์ปในปัจจุบัน

จริงอยู่ราคาซื้อ-ขายปลาคาร์ปจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะปลาสวยงามชนิดนี้จะเป็นของฟุ่มเฟือยก็ว่าได้


สำหรับ คุณประหยัด สิงห์บุปผา ชาวจังหวัดปทุมธานี มีอาชีพเลี้ยงและจำหน่ายปลาคาร์ปมานานกว่า 10 ปี ได้บอกถึงเสน่ห์ของปลาคาร์ป ผู้เลี้ยงสามารถสร้างมูลค่าของปลาเพิ่มได้ไม่ยาก โดยเฉพาะปลาคาร์ปที่เลี้ยงยิ่งนานปีและมีความสวยงาม ตัวใหญ่จะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่คนไทยที่มีฐานะดี ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจไทยจะถดถอยลงไปแต่ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาคาร์ป ยังมีจำนวนมาก


ปัจจุบันฟาร์มที่เลี้ยงปลาคาร์ปในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ฟาร์มของคนที่มีฐานะและมีเงินลงทุนมาก จะต้องมีการสร้างฟาร์มด้วยบ่อซีเมนต์และมีระบบกรองน้ำที่ดีมีประสิทธิภาพ และมักจะนิยมสั่งซื้อพันธุ์ปลาคาร์ป เกรด A จากต่างประเทศมาเลี้ยง อีกกลุ่มหนึ่งจัดเป็นฟาร์มระดับชาวบ้านที่มุ่งเพาะขยายพันธุ์เพื่อผลิตลูกปลาขายเป็นหลัก ไม่เน้นการคัดสายพันธุ์มากนัก เนื่องจากเน้นตลาดล่างหรือตลาดซื้อปลาสวยงามทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตามผลผลิตลูกปลาบางฟาร์มของกลุ่มนี้ส่งออกลูกปลาคาร์ปไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย สำหรับฟาร์มของคุณประหยัดจะเลี้ยงปลาคาร์ปในบ่อดิน แต่มีการเอาใจใส่ในเรื่องของคุณภาพน้ำที่จะต้องมีความสะอาดอาหารที่ใช้เลี้ยงจะใช้อาหารเม็ดประเภทปลากินพืช เช่น อาหารปลาดุก


คุณประหยัดบอกว่าในการคัดเลือกลูกปลาคาร์ป ออกจำหน่ายจะเริ่มต้นจากลูกปลาที่ขนาดความยาวของลำตัว 3 นิ้วขึ้นไป โดยแบ่งเกรดการขายออกเป็น 3 ระดับ เกรดเอ ปลาคัดสวยพิเศษขนาดลำตัว 3 นิ้วขึ้นไป จะมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 100 บาทขึ้นไป, เกรดบี จะจำหน่ายตัวละ 10 บาทและเกรดซีจะขายเป็นปลาถุงราคาตัวละ 6 บาท สำหรับปลาคาร์ปเกรดเอที่มีสีและลักษณะของลำตัวสวยและมีขนาดลำตัวยาวกว่า 50 เซนติเมตร ราคาขายอาจจะถึงหลักหมื่นก็มี ทุกวันนี้คุณประหยัดจะบรรจุปลาคาร์ปหลากสีสันโดยบรรจุถุงละ 30 ตัว นำไปจำหน่ายที่ตลาดนัดจตุจักรทุกวันตลาดขายลูกปลาคาร์ปของคุณประหยัดจะอยู่ภายในประเทศเป็นหลักคือขายส่งให้พ่อค้าปลาสวยงามตามต่างจังหวัด ตลาดยังพอไปได้เนื่องจากปลาคาร์ปยังจัดเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงง่ายและค่อนข้างทนต่อทุกสภาพแวดล้อม


สำหรับเรื่องของการผสมพันธุ์ปลาคาร์ปไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แม่ปลาหลังจากฉีดฮอร์โมนจะถูกนำมาปล่อยในบ่อปูนซีเมนต์ขนาดความกว้างของบ่อ 2.50 เมตร,ยาว 3 เมตรและมีระดับความสูงของน้ำ 50 เซนติเมตร ภายในบ่อมีพ่อพันธุ์อยู่แล้ว และมีท่อออกซิเจนและเชือกฟางฝอยเพื่อให้ไข่ปลายึดติด เพราะธรรมชาติของไข่ปลาคาร์ปเป็นไข่ลอย สัดส่วนของการปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ในบ่อขนาดนี้จะปล่อยแม่พันธุ์ จำนวน 2 ตัวและพ่อพันธุ์ จำนวน 5 ตัว.




ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

ปลาทอง
มือใหม่หัดเพาะปลาทอง

คุณมาโนช ลักษณะกิจ ชาวเชียงใหม่ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจหรือมือใหม่ที่จะหัดเพาะ ปลาทองจะต้องมีการเตรียมใจกับเรื่องอะไรบ้าง อาทิ เมื่อเพาะออกมาแล้วมีที่เลี้ยงหรือไม่ เนื่องจากในการรีดไข่ปลาในแต่ละครั้งนั้น ถ้าแม่ปลาที่มีความสมบูรณ์เต็มที่จะให้ลูกได้ไม่ต่ำกว่า 2,000-4,000 ตัว มีที่เลี้ยงเพียงพอกับการอนุบาลต่อไปหรือไม่

ในการอนุบาลลูกปลาทองจะต้องมีการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ถ้าขาดตกบกพร่องในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของลูกปลาได้ อีกทั้งอาหารจะต้องมีการให้อย่างสม่ำเสมอและน้ำที่ใช้เลี้ยงจะต้องคอย เปลี่ยนถ่ายให้สะอาดอย่างตลอดเวลา

หลักการสำคัญในการเพาะปลาทองนั้น คุณมาโนช บอกว่า พ่อแม่พันธุ์ที่จะใช้ในการผสมพันธุ์นั้น แนะนำให้ใช้ตัวผู้ 2 ตัว ต่อตัวเมีย 1 ตัว เนื่องจากน้ำเชื้อตัวผู้เพียงตัวเดียวจะไม่เพียงพอกับไข่ปลาตัวเมียที่ สมบูรณ์เพียงตัวเดียว ถ้าเป็นการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติ เราจะปล่อยให้พ่อ-แม่พันธุ์ได้ผสมพันธุ์กันเอง ตัวผู้จะไล่ตอดตัวเมียเพื่อให้ไข่หลุดออกมาจากท้องตัวเมีย หลังจากนั้นจะทำการฉีดน้ำเชื้อเข้าผสมไข่ที่หลุดออกมา ในบ่อผสมพันธุ์ควรจะมีพันธุ์ไม้น้ำ เช่น สาหร่ายหรืออาจจะใช้เชือกฟางฉีกเป็นฝอยเพื่อให้ไข่ปลาเกาะติด (เชือกฟางหรือสาหร่ายจะสามารถป้องกันการกินไข่ของพ่อแม่ปลาทองได้) พ่อแม่ปลาทองจะเก็บกินไข่ที่ตกอยู่ที่พื้นหรือที่โล่งจนหมด
 

สำหรับวิธีการผสมพันธุ์เทียม ให้สังเกตดูท้องตัวเมียจะป่อง ๆ แสดงว่าจะเริ่มไข่แล้ว หากไข่ที่สุกเต็มที่ตัวเมียจะขับเมือกคาว ๆ ออกมาพร้อมไข่ ให้เตรียมกะละมังขาวใส่น้ำสะอาด (ปราศจากคลอรีน) มาเตรียมเพื่อทำการรีดไข่ นำแม่พันธุ์มาอยู่ในกะละมัง พยายามจับเบา ๆ อย่า ให้แม่ปลาทองตกใจ จากนั้นให้นำพ่อปลาทองมาใส่รวมกัน เมื่อแม่ปลาหายตื่นตกใจให้เริ่มทำการรีดไข่ปลา

โดยปกติแล้วน้ำเชื้อของตัวผู้จะต้อง ออกแรงฉีดมากกว่าตัวเมีย เนื่องจากไข่ของตัวเมียแค่แม่ปลาสะบัดตัวก็หลุดออกมาแล้ว ในการรีดไข่จะต้องมีเทคนิคตรงที่ขณะที่รีดจะต้องวนมือเป็นวงกลมตามกะละมัง ด้วย เพื่อให้ไข่มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อเปอร์เซ็นต์การฟักจะสูงขึ้น ด้วย จากนั้นประมาณ 10-15 นาที ให้นำกะละมังไปล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง เราจะพบไข่ปลาที่มีสีเหลืองใส ติดหนึบอยู่บริเวณก้นกะละมัง นำกะละมังนั้นไปแช่ในอ่างแล้วเปิดออกซิเจนให้แรงให้ออกซิเจนเพียงพอสำหรับ ไข่ปลาที่กำลังจะฟัก

หลังจากนั้นอีกประมาณ 3-4 วัน ลูกปลาตัวน้อยก็จะเริ่มดีดตัวออกมาจากไข่ ลูกปลาจะออกช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำด้วย ถ้าอุณหภูมิของน้ำค่อนข้างเย็น ลูกปลาจะออกช้าซึ่งเป็นผลดี เพราะการที่ลูกปลาอยู่ในไข่นานจะทำให้การพัฒนาเป็นตัวมีความสมบูรณ์มากยิ่ง ขึ้น.



ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
dailynews

http://news.enterfarm.com/content/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1







การเลือกซื้อปลาหมอสี

ปลาหมอสี
การเลือกซื้อปลาหมอสี


ปัจจุบัน “ปลาหมอสี” จัดเป็นปลาสวยงามที่คนไทยนิยมนำมาเลี้ยงมากที่สุดชนิดหนึ่ง นอกจากจะเป็นปลาที่มีความสวยงามแล้ว ในเรื่องของการเลี้ยงดูจัดเป็นปลาสวยงามชนิดหนึ่งที่เลี้ยงง่ายและเป็นปลา ที่มีความอดทนสูง กินอาหารง่าย


ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด ลูกกุ้ง ไรทะเล ไส้เดือน หรือที่สะดวกที่สุดคือ อาหารสำเร็จรูป จุดสำคัญของการเลี้ยงปลาหมอสีคือการถ่ายน้ำ อาทิตย์หนึ่งให้ถ่าย น้ำออก 10% เพื่อเปลี่ยนสภาพของน้ำให้ ดีขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดจะต้องมีการถ่ายน้ำเดือนละครั้ง นอกจากนั้นผู้เลี้ยงควรจะต้องรู้จักลักษณะนิสัยของปลาหมอสีซึ่งจัดเป็นปลา ที่ค่อนข้างรักถิ่น หวงที่อยู่และมีความก้าวร้าว เมื่อมีปลาตัวอื่นหลงเข้าไปในถิ่นหรือพื้นที่ที่ปลาหมอสีได้สร้างอาณาจักร เอาไว้จะโดนไล่กัดทันที และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ไม่ควรเลี้ยงปลาหมอสีรวมกันหลายตัวภายในตู้เดียว กัน


คุณปกเกล้า วณิตย์ธนาคม คนเมืองชาละวัน จังหวัดพิจิตร เริ่มต้นเลี้ยงปลาหมอสีด้วยความชอบส่วนตัว เริ่มจากเลี้ยงไว้ดูเล่น จนปัจจุบันสนใจเลี้ยงอย่างจริงจังสามารถเพาะพันธุ์ปลาหมอสีออกจำหน่ายได้ คุณปกเกล้า บอกว่า พ่อ-แม่พันธุ์ที่จะนำมาเพาะจะต้องมีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป แม่ปลาหมอสี 1 ตัวจะให้ลูกได้เฉลี่ย 500-1,000 ตัว และช่วงฤดูการเพาะจะทำในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น เนื่องจากปลาหมอสีไม่ชอบสภาพอากาศเย็น (ฤดูหนาว จะไม่เพาะเลย เนื่องจากเปอร์เซ็นต์การ ติดน้อยมากหรือถ้าติดโอกาสจะรอดก็ยากมาก) ในช่วงฤดูฝนก็พอเพาะได้แต่จะต้องใช้ฮีทเตอร์ช่วย ในการเลือกซื้อปลาหมอสีมาเลี้ยงนั้น คุณป๊อปได้มีวิธีการแนะนำ ดังนี้


เริ่มจากพิจารณาที่ลูกตาของปลาจะต้องมีลูกตาใส ไม่เป็นสีขาวขุ่น มองหน้าตรงแล้วระดับของตาสองข้างควรจะเท่ากัน ส่วนของครีบบนคือส่วนของกระโดงบนควรมีระดับความสูงไล่ระดับจากต่ำไปหาสูง เมื่อดูจากส่วนหัวของปลานั้น กระโดงจะเริ่ม ที่บริเวณใกล้ ๆ กับลูกตา ของปลา ถ้าเป็นปลาหมอสีที่มีลักษณะที่ดีส่วนของหางควรจะกางแผ่ได้เต็มที่ ข้อหางไม่คด ส่วนของลำตัวโดยทั่วไปแล้ว คนไทยมักจะนิยมเลี้ยงปลาหมอสีที่มีลักษณะลำตัวสั้นและกว้างมากกว่าปลาที่มี ลักษณะลำตัวยาวและแคบ โหนกหรือหัวที่โหนกนูนของปลา ควรจะดูว่าโหนกของปลาที่จะซื้อมาเลี้ยงนั้นได้สมดุลซ้าย-ขวา หรือไม่ ลวดลายบนลำตัวปลาหมอสีนับเป็นลักษณะเด่นและสร้างความสวยงามให้ตัวปลามากที่ สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลาเป็นสำคัญ บางพื้นที่ปลา ที่มีลำตัวแดงอาจจะขายดีกว่าปลามุกที่มีเกล็ดเงา


สรุปถึงวิธีการเลือกซื้อปลาหมอสีมาเลี้ยงในตู้เป็นปลาสวยงามนั้นให้ดูลักษณะ 3 ประการ คือ ดูทรง ดูสีและดูหัว เป็นปลา ที่มีทรงสั้น ลำตัวมีสีแดงสดและหัวใหญ่ขนาดลูกกอล์ฟหรือลูกส้มเช้งหรือส้มเขียวหวาน.



ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
dailynews 



http://news.enterfarm.com/content/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1





ปลาซิวข้างขวานเล็ก

ปลาซิวข้างขวานเล็ก

ส่งเสริมเลี้ยงปลาซิวข้างขวานเล็ก สู่ตลาดปลาสวยงามนานาชาติ


ปลาซิวข้างขวานเล็ก เป็นปลาน้ำจืดมี ถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน ทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเกาะสุมาตรา ซึ่งประเทศไทยพบที่ภาคใต้และภาคตะวันออก โดยพบมากที่สุด คือ ที่อำเภอย่านตาขาว และอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง จัดเป็น ปลาที่มีสีสันสวยงามมีสารพัดสีในตัว คือ บริเวณ ลำตัวซึ่งมีลักษณะแบนข้างจะเป็นสีน้ำตาลอมเขียว แต่จะมีช่วงกลางลำตัว เป็นสีน้ำตาลอมแดง ส่วนครีบหางเป็นสีส้ม หรือสีแดงอ่อน แต่ ลักษณะเด่นและเป็นที่มาของชื่อปลาซิวข้างขวาน นี้ คือ แถบสามเหลี่ยมสีดำเล็ก ๆ คล้ายรูปขวาน ตอนกลางลำตัวไปทางด้านหาง


ปลาซิวข้างขวานเล็ก จัดเป็นปลาที่มีความสวยงามทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง เพราะขายได้ราคา ดี เป็นที่ต้องการของตลาด และมีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้นอย่างหต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาปลาซิวข้างขวานเล็กที่จำหน่ายและส่งออกจะเป็นปลาที่จับได้จาก ธรรมชาติ เนื่องจากสามารถจับได้ง่าย ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม และบางพื้นที่ได้ทำการขุดลอกคลอง ทำให้แหล่งวางไข่ของปลาถูกทำลาย จึงเป็นเหตุให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง

ล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.วิมล จันทรโรทัย รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมง ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลทรัพยากรสัตว์น้ำให้คงอยู่ จึงมีนโยบายในการเพาะพันธุ์ปลา ซิวข้างขวานเล็กเพื่อปล่อยกลับคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ ปลาชนิดนี้ไม่ ให้สูญพันธุ์ และพัฒนาการเลี้ยงให้เป็นปลาเศรษฐกิจส่งออกเพื่อทดแทนการจับจากธรรมชาติ โดยได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดตรัง ศึกษาและทดลองเพาะขยายพันธุ์กระทั่งประสบความสำเร็จและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ อย่างต่อเนื่อง


นายสันติชัย รังสิยาภิรมย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนา ประมงน้ำจืดตรัง เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ได้ทดลองเพาะพันธุ์ปลาซิวข้างขวานด้วยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ และสามารถอนุบาลลูกปลา โดยการใช้อาหารธรรมชาติมีชีวิต อาหารสำเร็จรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาสายพันธุ์จนมีสีสันสวยงามมากขึ้น


ทางด้าน นายสุชาติ ไกรสุรสีห์ นักวิชาการประมงชำนาญการ ผู้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ ได้กล่าวว่า การเพาะพันธุ์ปลาซิวข้างขวานเล็ก มี 2 วิธี คือ 1) การเพาะพันธุ์ในตู้กระจก ขนาด 45 x 90 x 45 เซนติเมตร ระดับน้ำลึก 35 เซนติเมตร ใส่พ่อแม่พันธุ์อัตราส่วน 1:1 ตัวผู้ 3 ตัว ตัวเมีย 3 ตัว โดยจัดวัสดุให้เหมือนสภาพธรรมชาติ ปลูกพรรณไม้น้ำในตู้ให้มีจำนวนเหมาะสม ใช้ระบบน้ำหมุนเวียน ให้ไร แดงเป็นอาหาร วันละ 2 ครั้ง ส่วนวิธีที่ 2) เพาะพันธุ์ในบ่อซีเมนต์ ขนาด 1 x 2 x 1 ตารางเมตร ระดับน้ำลึก 50 เซนติเมตร โดยวิธีการเหมือนกับในตู้กระจก เพียงแต่ใส่พ่อแม่พันธุ์ อัตราส่วน 1:1 ตัวผู้ 10 ตัว ตัวเมีย 10 ตัว ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ เมื่อปลาวางไข่ติดกับพรรณไม้ น้ำหรือหินเกล็ด จะต้องนำพ่อแม่พันธุ์ออก เพื่อ ป้องกันพ่อแม่พันธุ์กินไข่หรือลูกตัวอ่อน ทั้งนี้ ในการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์นั้น จะต้องมีลักษณะดี คือ อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ มีน้ำหนักอยู่ในช่วง 0.30-0.60 กรัม ไม่มีบาดแผลหรือเป็นโรค


สำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจปลาสวยงาม หากหันมาเพาะพันธุ์ปลาซิวข้างขวานเอง หรือจำหน่ายปลาที่ได้จากการเพาะพันธุ์ เพื่อฟื้นฟูจำนวนปลาในธรรมชาติให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม ก็จะเป็นผลดีต่อวงการปลายสวยงามและระบบนิเวศของธรรมชาติได้ไม่น้อย ทั้งนี้ เกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจจะเพาะเลี้ยงปลาซิวข้างขวานเล็ก สามารถติด ต่อขอคำแนะนำได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดตรังโทร. 0-7527-8164 ในวันและเวลาราชการ.

dailynews


http://news.enterfarm.com/content/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%9e%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-05 (2538 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©