กำลังปรับปรุงครับ
การเลี้ยงไก่พื้นเมือง
การเลี้ยงไก่พื้นเมืองอายุ 0-6 สัปดาห์
ลูกไก่ที่จะเลี้ยงขุนขายเนื้อส่งตลาด หรือพวกที่เลี้ยงไว้ทำพันธุ์ในอนาคตนั้น จำเป็นต้องมีการดูแลและเลี้ยงดูอย่างดี เริ่มจากลูกไก่ออกจากตู้ฟัก ให้ทำการตัดปากบนออก 1 ใน3 แล้วนำไปกกด้วยเครื่องกกลูกไก่เพื่อให้ไก่อบอุ่นด้วยอุณหภูมิ 95 องศา F ในสัปดาห์ที่ 1 แล้วลดอุณหภูมิลงสัปดาห์ละ 5 องศา F กกลูกไก่เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
ลูกไก่ 1 ตัว ต้องการพื้นที่ในห้องกกลูกไก่ 0.5 ตารางฟุต หรือเท่ากับ 22 ตัว/ตารางเมตร การกกลูกไก่ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าหากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืนจะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา และว่างอยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือเช้าและบ่าย ลูกไก่ 100 ตัว ต้องการรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต และขวดน้ำขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 ขวด ทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ และโรคฝีดาษ เมื่อลูกไก่อายุ 1-7 วัน
การให้อาหารลูกไก่ ระยะกก (1-14 วันแรก) ควรให้อาหารบ่อยครั้งใน 1 วัน อาจแบ่งเป็นตอนเช้า 2 ครั้ง ตอนบ่าย 2 ครั้ง และตอนค่ำอีก 1 ครั้ง การให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ไก่กินอาหารดีขึ้น อีกทั้งอาหารจะใหม่สดเสมอ จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่ให้อย่างเหลือเฟือจนเหลือล้นราง ซึ่งเป็นเหตุให้ตกหล่นมาก ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละสัปดาห์และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ยแสดงในตารางที่ 1 |
ตารางที่ 1 น้ำหนักและจำนวนอาหารผสมที่ใช้เลี้ยงลูกไก่พื้นเมืองอายุ 0-6 สัปดาห์ |
อายุลูกไก่
|
น้ำหนักตัว
(กรัม/ตัว)
|
จำนวนอาหารที่ให้
(กรัม/ตัว)
|
อัตราแลกเนื้อ
(กก.)
|
การจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
สัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 4
สัปดาห์ที่ 5
สัปดาห์ที่ 6
|
49
76
115
185
250
370
|
7
11
21
30
32
33
|
0.86
1.46
2.18
2.45
2.46
2.48
|
- หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล หลอดลมอักเสบติดต่อ ฝีดาษ
เมื่ออายุ 1-7 วัน
- อัตราการตายไม่เกิน 3%
- ชั่งน้ำหนักเฉลี่ยเมื่อสิ้นสัปดาห์โดยการสุ่มตัวอย่าง 10% เพื่อหา
ค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบกับตารางมาตรฐาน |
|
|
อาหารผสมที่ให้ในระยะ 0-6 สัปดาห์นี้ มีโปรตีน 18% พลังงานใชัประโยชน์ได้ 2,900 กิโลแคลอรี/กก. แคลเซียม 0.8% ฟอสฟอรัส 0.40% เกลือ 0.5% และมีส่วนประกอบของกรดอะมิโนครบตามความต้องการ (ดังตารางที่ 2) สำหรับไวตามินและแร่ธาตุปลีกย่อย (พรีมิกซ์) ที่ใช้ผสมในอาหาร 0.25% หรือ 250 กรัม ต่ออาหาร 100 กก. นั้น เป็นไวตามิน-แร่ธาตุที่ผู้ผลิตผสมในปริมาณตามความต้องการของลูกไก่ อายุ 0-6 สัปดาห์ และหาซื้อได้จากร้านขายอาหารสัตว์ทั่วไป |
การกกลูกไก่พื้นเมืองอายุ 0-3 สัปดาห์เพื่อให้ความอบอุ่น
|
|
ลูกไก่พื้นเมืองอายุ 2 สัปดาห์
|
|
ตารางที่ 2 ส่วนประกอบของอาหารลูกไก่พื้นเมือง อายุ 0-6 สัปดาห์ |
ส่วนประกอบในอาหาร
|
%ในอาหารผสม
|
สูตรอาหารผสม (กก.)
|
วัตถุดิบ
|
1
|
2
|
โปรตีน
กรดอะมิโนที่จำเป็น
ไลซีน
เมทไธโอนีน + ซีสตีน
ทริปโตเฟน
ทริโอนีน
ไอโซลูซีน
อาร์จินีน
ลูซีน
เฟนิลอะลานีน + ไทโรซีน
ฮีสติดีน
เวลีน
ไกลซีน + เซรีน
คุณค่าทางโภชนาการ
พลังงานใช้ประโยชน์ได้
(กิโลแคลอรี/กก.)
แคลเซียม
ฟอสฟอรัส
เกลือ
ไวตามิน + แร่ธาติ |
18
0.95
0.63
0.20
0.69
0.81
1.15
1.65
1.55
0.46
0.94
0.70
2,900
0.80
0.40
05.0
++
|
ข้าวโพด
รำละเอียด
กากถั่วเหลือง
ใบกระถินป่น
ปลาป่น (55%)
เปลือกหอย
ไดแคลเซียม
เกลือ
พรีมิกซ์ลูกไก่
สมุนไพร (กรัม)
รวม
|
63.37
10.00
10.88
4.00
10.00
1.00
-
0.50
0.25
180
100
|
56.75
15
21
-
5
0.5
1.0
0.5
0.25
180
100
|
|
หมายเหตุ
1. ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และปลายข้าว ใช้แทนกันได้
2. ถั่วพุ่ม ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ก่อนใช้แช่น้ำเดือด นาน 15-20 นาที ตากแดดและบดผสมอาหารต่อไป
3. สมุนไพร 180 กรัม ผสมจากฟ้าทะลายโจร 144 กรัม + ขมิ้น 2 กรัม + ไพล 29 กรัม เป็นน้ำหนักแห้ง |
|
โรคและการป้องกันโรค
โปรแกรมการทำวัคซีน
การที่ไก่จะมีภูมิคุ้มโรคดีขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่น โปรแกรมการทำวัคซีนที่ดี การเลือกชนิดวัคซีนที่เหมาะสม และคุณาภาพดี วิธีการให้วัคซีน สภาพแวดล้อมและสุขภาพของฝูงไก่เอง ขณะที่ทำวัคซีน เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ทำวัคซีนกับฝูงไก่พร้อมๆ กันยังยากที่จะให้ทุกตัวสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดีเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าทำวัคซีนไปแล้วได้ผลสมบูรณ์ตามเป้าหมาย แต่โรคอาจเกิดกับไก่เป็นบางส่วน ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคหมดเร็วกว่าที่ควร ดังนั้น บางครั้งจึงจำเป็นจ้องมีการทำวัคซีนซ้ำ
ข้อควรทราบก่อนการทำวัคซีน
1. ทำวัคซีนให้แก่สัตว์ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และไม่เป็นโรคเท่านั้น
2. ศึกษารายละเอียดการเก็บรักษษ และการทำวัคซีนตามคำแนะนำเฉพาะของวัคซีนแต่ละชนิด เพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพดีที่สุด และสามารถเก็บรักษาได้นาน
3. ใช้วัคซีนตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีรโรคระบาดเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดโรคระบาดในบริเวณใกล้เคียง
4. วัคซีนสามารถใช้จนถึงวันหมดอายุที่ระบุไว้ข้างขวด
5. อย่ให้วัคซีนถูกความร้อนหรือแสงแดด และจ้องให้วัคซีนครบตามขนาดที่กำหนดไว้
6. หลังให้วัคซีนแก่สัตว์ที่กำลังจะนำไปส่งโรงฆ่า ควรเว้นช่วงเวลาตามคำแนะนำของวัคซีนแต่ละชนิด
7. วัคซีนที่เหลือจากการใช้ควรทิ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงจากการปนเปื่อนด้วยเชื้อโรคอื่น ซึ่งจะทำให้คุณภาพวัคซีนลดลงและเป็นอันตรายในการนำไปใช้ครั้งต่อไป
8. ขวดบรรจุวัคซีนหรือภาชนะที่ใช้ในการผสมวัคซีน เมื่อใช้แล้วควรต้มหรือเผาทำลายเชื้อก่อนทิ้ง โดยเฉพาะวัคซีนเชื้อเป็น
9. ต้องใช้วัคซีนซ้ำเมื่อหมดระยะความคุ้มโรคของวัคซีนแต่ละชนิด
10. วัคซีนแบบที่ต้องผสมกับน้ำยาละลาย เมื่อผสมแล้วต้องใช้ให้หมาดภายใน 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นต้องเก็บในกระติกน้ำแข็ง
11. สัตว์บางตัวอาจเกิดการแพ้หลังฉีดวัคซีน ดังนั้นจึงควรรอสังเกตอาการสัตว์ภายหลังฉีดวัคซีนแล้วประมาณ 1 ชั่วดมง ถ้าเกิดอาการแพ้ให้รักษาด้วย แอดรีนาลีน หรือ แอนติฮีสตามีน
12. วัคซีนที่เสื่อมสภาพ หมาดอายุ มีการปนเปื้อน หรือสีของวัคซีนเปลี่ยนไปห้ามนำมาใช้
13. การฉีดวัคซีนให้ได้ผล ต้องพยายามฉีดให้แก่สัตว์ทุกตัวในหมู่บ้าน ยิ่งปริมาณสัตว์ที่ได้รับวัคซีนมาก ระดับภูมิคุ้มโรคในฝูงก็ยิ่งสูง โอกาสที่เกิดโรคระบาดจึงมีน้อย
14. การให้วัคซีนเพื่อสร้างระดับความคุ้มโรคในแม่พันธุ์ สามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ในระยะแรกเกิด
15. สัตว์จะป่วยหลังจากได้รับเชื้อโรคหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปริมาณและความรุนแรงของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย หากเชื้อโาคมีปริมาณและความรุนแรงมากอาจทำให้สัตว์เป็นโรคได้
16. ไม่ควรหลังผลจากการฉีดวัคซีนแต่เพียงแย่างเดียว การป้องกันการติดโรคจากแหล่งอื่น การจัดการและการสุขภิบาลที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดโรคได้ดีที่สุด
อายุ
|
วัคซีนที่ใช้
|
อหิวาต์
เป็ด-ไก่
|
นิวคาสเซิล
เชื้อเป็น
สเตรน ลาโซต้า
|
นิวคาสเซิล
เชื้อตาย
สเตรน ลาโซต้า
|
กัมโบโร
เชื้อเป็น
สเตรนซี ยู วัน เอ็ม
|
กันโบโร
เชื้อตาย
สเตรนซี ยู วัน เอ็ม
|
หลอดลม
อักเสบติดต่อ
ในไก่
|
ฝีดาษไก่
|
5-7 วัน |
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
/
|
-
|
7-10 วัน |
-
|
/
|
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
14 วัน |
-
|
-
|
-
|
/
|
-
|
-
|
-
|
14-21 วัน |
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
/
|
-
|
3 สัปดาห์ |
-
|
/
|
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
5 สัปดาห์ |
/
|
-
|
-
|
/
|
-
|
-
|
/
|
8 สัปดาห์ |
-
|
/
|
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
16 สัปดาห์ |
-
|
/
|
/
|
-
|
-
|
-
|
-
|
18 สัปดาห์ |
-
|
-
|
-
|
-
|
/
|
-
|
-
|
ทุกๆ 6-8 สัปดาห์ |
-
|
/
|
/
|
-
|
-
|
/
|
-
|
ทุกๆ 12 สัปดาห์ |
/
|
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
-
|
วิธีให้
|
ฉีดเข้า
กล้ามเนื้อ/
ใต้ผิวหนัง
|
หยอดตา/จมูก
ละลายน้ำ,
สเปรย์/พ่นละออง
|
ฉีดเข้า
กล้ามเนื้อ/
ใต้ผิวหนัง
|
ละลายน้ำ
|
ฉีดเข้า
กล้ามเนื้อ/
ใต้ผิวหนัง
|
หยอดตา/
จมูก
|
แทงปีก
|
การเตรียมอุปกรณ์ก่อนทำวัคซีน
1. อุปกรณ์ในการทำวัคซีน เช่น เข็มและกระบอกฉีดยา ต้องต้มในน้ำสะอาดให้เดือดนาน 15 นาที ก่อนและหลังการใช้ ห้ามแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
2. วัคซีนชนิดเป็นน้ำหรือน้ำมันพร้อมฉีด จะต้องทำความสะอาดจุกยางและคอขวดด้วยลำลีชุบแอลกอฮอล์ เขย่าวัคซีนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ต้มสะอาดแล้วดูดวัคซีนออกมาตามขนาดที่ใช้
3. วัคซีนชนิดที่จะต้องผสมก่อนใช้ ต้องใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ต้มสะอาด ดูดน้ำยาละลายที่เตรียมไว้สำหรับวัคซีนเข้าไปในขวดบรรจุวัคซีน เขย่าให้เข้ากันประมาณ 2-5 นาที แล้วดูดวัคซีนออกมาตามขนาดที่จะใช้ วัคซีนที่ละลายแล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง ระหว่างการใช้ต้องเก็บในกระติกน้ำแข็ง สำหรับหลอดบรรจุวัคซ๊นและอุปกรร์ในการทำ เมื่อใช้แล้วควรต้มทำลายเชื้อก่อนทิ้งหรือเก็บไว้ โดยเฉพาะวัคซีนเชื้อเป็น
ตำแหน่งบนตัวสัตว์ที่จะใช้ฉีดวัคซีน
สัตว์ปีก
1. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้เข็มเบอร์ 20-21 ยาว 1/2 นิ้ว บริเวณกล้ามเนื้อหน้าอก หรือกล้ามเนื้อโคนขาหลัง ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหน้าอกจะมีความปลอดภัยสูงกว่าฉีดเข้ากล้ามเนื้อขาหลัง เนื้องจากกล้ามเนื้อขาหลังจะมีเส้นประสาทใหญ่พาดผ่าน
2. ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ใช้เข็มเบอร์ 20-21 ยาว 1/2 บริเวณหลังคอ
3. หยอดตา ดึงหนังตาล่าง หยดวัคซีนด้วยหลอดหยดลงที่ตา
4. หยอดจมูก ใช้นิ้วมือปิดจมูกข้างหนึ่งแล้วหยดวัคซีนที่รูจมูกอีกข้างหนึ่ง เมื่อสัตว์สูดวัคซีนแล้วจึงปล่อยนิ้ว
5. แทงปีก ใช้เข็มรูปส้อมจุ่มวัคซีนในขวดให้มิดเข็ม แทงที่พังผืดของปีก (Wing Web) อย่างให้ถูกเส้นเลือด
ฉีดเข้ากล้าม
|
หยอดตา
|
หยอดจมูก
|
แทงปีก
|
|
เรียบเรียงโดย
ดร.สวัสดิ์ ธรรมบุตร, นางศิริพันธ์ โมราถบ
นายบุญศักดิ์ เกลียวกมลทัต, นางอัมพร ธรรมบุตร
กองบำรุงพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ โทร. 0-2653-4454, 0-2653-4444 ต่อ 3251-2
|
http://www.dld.go.th/service/webeggs/natimang.html
ตอนที่ 1
ความรู้เบื้องต้นไก่พื้นเมือง
|
เรื่องที่ 1 ความสำคัญและประโยชน์ของการเลี้ยงไก่พื้นเมือง |
ปัจจุบันประชาชนนิยมรับประทานไก่พื้นเมืองกันมาก แม้ว่าประชาชนจะนิยมเลี้ยงกันอยู่ทั่วไปก็ตาม แต่ไก่พื้นเมือง ก็ยัง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด หรือประชาชนผู้รับประมาณเนื้อไก่พื้นเมือง ทั้งนี้เพราะผู้ที่เลี้ยงไกพื้นเมืองในชนบทโดยทั่วไป ใช้วิธีการเลี้ยงแบบปล่อยให้ไก่พื้นเมืองหากินเองตามธรรมชาติ และเลี้ยงเป็นจำนวนน้อย จะให้อาหารบ้างเป็นบางครั้งคราว จึงทำให้ไก่พื้นเมืองเจริญเติบโตช้าและเป็นโรคตายจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ไก่พื้นเมืองมีลักษณะเด่น คือ เลี้ยงง่าย มีความต้านทานโรคสูง เนื้อเป็นที่นิยมรับประทาน เพราะมีรสชาติดีดังนั้น หากผู้ที่เลี้ยงไกพื้นเมืองมีการศึกษาวิธีการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ให้เข้าใจ พร้อมทั้งมีการดูแลป้องกันรักษาการเกิดโรคต่างๆ ก็จะทำให้ผลผลิตไก่พื้นเมืองดีขึ้น สามารถจำหน่ายได้ราคาดี เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กับผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองอีกทางหนึ่งด้วย หากมองให้กว้างๆออกไปอีกไก่พื้นเมืองจะช่วยให้ธรรมชาติม ีความสมดุลในระบบไร่นา คือ จะช่วยจิกกินแมลงที่ทำลายต้นพืชบางอย่างการเลี้ยงไก่พื้นเมืองมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทำให้ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองมีอาหารที่ดีมีคุณภาพไว้รับประทานเนื้อไก่พื้นเมืองและไข่ไก่พื้นเมืองทำให้เด็กเจริญเติบโตเร็ว และช่วยบำรุงสมองให้มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด
2. ทำให้ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองมีรายได้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเงินไปซื้อเนื้อไก่พื้นเมืองและไข่ไก่พื้นเมืองมารับประทาน สามารถเอาเงินนั้นเก็บไว้ซื้อสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นและหากผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองเลี้ยงไว้จนเหลือรับประทานแล้วก็สามารถนำไก่พื้นเมืองไปขายเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวด้วยอีกทางหนึ่ง
3. มูลไก่เป็นปุ๋ยคอกที่มีธาตุอาหารของพืชสูง มูลไก่เป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่งของการเลี้ยงไก่พื้นเมือง เป็นปุ๋ยต้นไม้ต่าง ๆ ได้ดี และเป็นอาหารเลี้ยงปลาก็ได้ เนื่องจากมูลไก่พื้นเมืองมีธาตุอาหารมากมาทั้งไนโตรเจน โปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัส
4. ไก่พื้นเมืองสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้ เนื่องจากไก่พื้นเมืองขายได้ราคาดีมากทั้งตัวผู้และตัวเมีย หรือสามารถเลี้ยงเป็นงานอดิเรกก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
5. ไก่พื้นเมืองเลี้ยงง่ายและมีความต่างทานโรคสูง สามารถปล่อยให้หากินอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเลี้ยงดูเหมือนไก่พันธุ์อื่น ๆ
6. การเลี้ยงไก่พื้นเมืองสามารถช่วยแก้ความเครียด ความหงุดหงิดได้ เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
เรื่องที่ 2 คุณสมบัติลักษณะที่ดีของไก่พื้นเมือง |
ไก่พื้นเมืองมีข้อดีหลายอย่างด้วยกัน ถ้าผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองหมั่นคอยสังเกตการเลี้ยงจะมองเห็นได้ชัดเจน ดังนี้
1. ไก่พื้นเมืองใช้เวลาเลี้ยงไม่มาก ต้องมีการอนุบาลลูกไก่พื้นเมืองระยะแรกเกิดนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ปล่อยให้หาอาหารกินเองตามธรรมชาติ เป็นการช่วยทุ่นค่าอาหารได้ และให้อาหารเสริมบ้าง ไก่พื้นเมืองจึงจะเจริญเติบโต บางทีผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองไม่ต้องมีการอนุบาลลูกไก่ระยะแรกเกิดเลยก็ได้ โดยปล่อยให้แม่ไก่พื้นเมืองฟักไข่และเลี้ยงลูกจนถึงระยะที่แม่และลูกไก่พื้นเมืองแยกออกจากกัน
2. ในปีหนึ่ง ๆ แม่ไก่พื้นเมืองจะไข่และฟักไข่ 3-4 รุ่นต่อปี แม่ไก่ตัวหนึ่งจะฟักลูกออกมาประมาณ 8-12 ตัว ทั้งปีแม่ไก่พื้นเมือง 1 ตัว จะให้ลูกประมาณ 30-40 ตัว ทำให้ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองมีไก่พื้นเมืองกินตลอดปี
3. เมื่อพูดถึงไก่พื้นเมืองแล้ว จะมีรสชาดอร่อย เนื้อไก่พื้นเมืองมีไขมันน้อยและให้คุณค่าทางอาหารสูงจึงเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะประชาชนนิยมรับประทานไก่พื้นเมืองเป็นหลักมากกว่าไก่พันธุ์อื่น ๆ
4. มีผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองหลายรายที่สามารถเลี้ยงไก่พื้นเมืองเป็นอาชีพได้อย่างดี เนื่องจากไก่พื้นเมืองมีราคาสูง ขายได้ราคาดีทั้งตัวผู้และตัวเมีย จึงยึดเป็นอาชีพหลักได้อย่างสบาย ซึ่งนับเป็นอาชีพที่น่าสนใจมากทีเดียว
5. ไก่พื้นเมืองเลี้ยงง่ายมีความต้านทานโรคสูง สามารถเลี้ยงแบบปล่อยได้ ไม่เสียเวลา
เลี้ยงดูมาก และกินอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ไม่เหมือนไก่พันธุ์อื่น ๆ
เรื่องที่ 3 การเลือกสถานที่เลี้ยงไก่พื้นเมือง |
สถานที่เลี้ยงไก่พื้นเมือง นับเป็นปัจจัยที่บ่งบอกความสำเร็จของการเลี้ยงไก่พื้นเมืองได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองควรให้ความสนใจการเลือกสถานที่เลี้ยงไก่พื้นเมือง ควรพิจารณาสิ่งสำคัญ ดังนี้
1. ควรเป็นที่เนินและเป็นที่ระบายน้ำได้ดี เพราะเมื่อถึงฤดูฝนเวลาฝนตกลงมาน้ำจะได้ไม่ท่วม หากบริเวณใกล้เคียงกันเป็นที่นาก็จะดีมาก เนื่องจากเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวที่ตกหล่นจะเป็นอาหารของไก่พื้นเมืองที่เลี้ยงอยู่
2. ใกล้แหล่งน้ำจืด การเลี้ยงไก่พื้นเมืองจำเป็นต้องมีน้ำจืดที่สะอาดให้กินตลอดเวลา จะช่วยให้การเลี้ยงไก่พื้นเมืองประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ถ้าไก่พื้นเมืองขาดน้ำแล้ว การเจริญเติบโตของไก่พื้นเมืองอาจลดลงได้
3. สถานที่ที่จะเลี้ยงไก่พื้นเมืองนั้น ไม่ควรเป็นที่ที่เคยมีโรคระบาดมาก่อน
4. ควรอยู่ห่างจากแหล่งชุมชนพอสมควร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นและเสียงไปรบกวนหรือไปทำความรำคาญให้กับชาวบ้างใกล้เคียง
5. อยู่ใกล้เส้นทางคมนาคม เพื่อเป็นการประหยัดค่าขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการขนอาหาร วัสดุในการเลี้ยงเข้ามา หรือขนไก่พื้นเมืองออกไปจำหน่าย ต้องทำได้ง่ายและสะดวก
6. บริเวณที่เลี้ยงไก่พื้นเมือง ควรมีต้นไม้เพื่อบังแสงแดดในตองกลางวันหรือตอนบ่าย จะช่วยให้สถานที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองมีความร่มเย็นทำให้ไก่พื้นเมืองไม่เครียดเกินไป การเจริญเติบโตของไก่พื้นเมืองก็เป็นไปตามปกติ
7. จะต้องไม่ไกลจากบ้านพักของผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองมากเกินไปนักทั้งนี้เพื่อสะดวกในการดูแล
8. บริเวณที่เลี้ยงไก่พื้นเมือง ควรอยู่ในที่ที่ปลอดภัยจากขโมยและสัตว์ร้ายต่าง ๆ เช่น งู พังพอน และสุนัขด้วย
เรื่องที่ 4 การคัดเลือกพันธุ์ไก่พื้นเมือง |
การคัดเลือกพันธุ์ไก่พื้นเมือง ผู้ที่จะเลี้ยงควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. ไก่พื้นเมืองที่ดีควรมีรูปร่างใหญ่ ตัวโต แข็งแรง คอยาว ขนดกเป็นมัน ไม่เป็นโรค คัดจากพ่อแม่เป็นไก่พื้นเมืองที่มีลูกดก
2. ผู้ที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองต้องหมั่นคัดเลือกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่พื้นเมืองตัวที่มีลักษณะดีเด่นไว้ทำพันธุ์ ถ้าพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่มีอายุแก่เกิน 3 ปี ให้คัดออกไม่ใช้ทำพันธุ์ต่อไป
3. ให้คัดเลือกลูกไก่พื้นเมืองที่เกิดจากพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่พื้นเมืองตัวที่ดีไว้ทำพันธุ์รุ่นละ 2-3 ตัว
ลักษณะพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่พื้นเมืองที่ด
1. พ่อพันธุ์ไก่พื้นเมืองที่ดี จะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ แข็งแรง มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัมขึ้นไป มีอายุตั้งแต่ 9 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี
2. แม่พันธุ์ไก่พื้นเมือง จะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ แข็งแรง ขนดก มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 1.5 กิโลกรัมขึ้นไป มีอายุตั้งแต่ 7 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี และมีความสามารถเฉพาะตัว ดังนี้
- ให้ไข่อย่างน้อยปีละ 4 ชุด
- ให้ไข่อย่างน้อยชุดละ 12 ฟอง
- ฟักไข่ออกเป็นตัวอย่างน้อยชุดละ 8 ตัว
- เลี้ยงลูกเก่ง เลี้ยงลูกรอดจนโตชุดละประมาณ 6 ตัว
- ไม่ดุร้าย ไม่คอยจิกตีลูกไก่พื้นเมืองของแม่ไก่พื้นเมืองตัวอื่น ๆ
|
|
|
http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/45209/4520902.html
การเลี้ยงไก่พื้นเมืองมีประโยชน์พอสรุปได้ดังนี้
เกษตรกรได้มีเนื้อไก่และไข่ไก่กินเป็นอาหารเพิ่มโปรตีน ซึ่งทั้งเนื้อไก่และไข่ไก่เป็นอาหารที่มีคุณค่ามีประโยชน์ช่วย
เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ทำให้เด็กเติบโตเร็วและช่วยบำรุงสมองให้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด เพิ่มพูนราย
ได้ของเกษตรกร โดยแทนที่จะต้องเสียเงินไปซื้อเนื้อไก่และไข่ไก่มากินก็สามารถเอาเงินนั้นเก็บไว้ซื้อสิ่งอื่นๆ ที่จำเป็น
และหากเลี้ยงไว้จนเหลือกินแล้วก็สามารถนำไปขายเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวด้วย
ไก่พื้นเมืองปล่อยเลี้ยงได้ไม่เสียเวลาในการเลี้ยงดูมาก และกินอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ไม่เหมือนไก่พันธุ์ ซึ่งทั้ง
ไก่เนื้อและไก่ไข่จะต้องเลี้ยงในเรือนโรงอย่างดีและมีอาหารผสมให้เกินเต็มที่จึงจะได้ผลและต้องลงทุนมากด้วย ไก่
พื้นเมืองสามารถฟักไข่และเลี้ยงลูกเองได้ ในปีหนึ่งแม่ไก่จะไข่อย่างน้อย 3-4 รุ่น ๆ หนึ่งจะฟักออกประมาณ 8-10
ตัว ตลอดทั้งปีแม่ไก่จะให้ลูกประมาณ 30-40 ตัว ถ้าเลี้ยงไว้ 3-4 แม่ เกษตรกรจะมีไก่กินตลอดปี รสชาติของไก่
พื้นเมืองมีรสอร่อย เนื้อแน่น มีมันน้อย สามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้ ขายได้ราคาดีทั้งตัวผู้และตัวเมีย ถ้าเกษตรกร
สามารถขายไก่รุ่นได้เดือนละ 5 ตัว ในปีหนึ่งจะมีรายได้ถึง 2,400-3,000 บาท
ในการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่จะให้ได้ผลผลิตดีนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ดังนี้
1. โรงเรือนหรือเล้าไก่
ต้องมีโรงเรือนหรือเล้าให้ไก่นอน มีหลังคากันแดดกันฝนได้ ไม่ควรเลี้ยงไก่ไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะนอกจากจะไม่ถูก
สุขลักษณะแล้ว คนบนเรือนจะถูกไรไก่รบกวนอีกด้วย เกษตรกรสามารถทำเล้าไก่แบบง่าย ๆ ได้เอง โดยใช้วัสดุที่หา
ได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ แฝก จาก ฯลฯ สถานที่ตั้งของเล้าไก่ ควรให้ห่างจากตัวบ้านพอสมควรและอยู่ในที่ดอน
ไม่ชื้นแฉะ ไม่ควรอยู่ใกล้ต้นไม้ เพราะไก่ชอบนอนบนต้นไม้จะไม่เข้าไปนอนในเล้า พื้นเล้าอาจจะปูด้วยแกลบหรือขี้
เลื่อยหรือฟางแห้งหนาอย่างน้อย 4 ซ.ม. และต้องเปลี่ยนวัสดุรองพื้นทุก ๆ 3 เดือนให้หนาเท่าเดิมอยู่เสมอ เล้า
กว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตร เลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ได้ ประมาณ 30-40 ตัว เล้ากว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร
สูง 1 เมตร เลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ได้ประมาณ 6-8 ตัว ควรมีกรงไก่ขนาดเล็กอีก
2 กรง
คือกรงหรือสุ่มสำหรับเลี้ยงแม่ไก่กับลูกอ่อน 1 กรง กรงหรือสุ่ม สำหรับเลี้ยงไก่เล็ก 1 กรง 2. รางน้ำ ต้องมีรางน้ำ
สำหรับน้ำสะอาดให้ไก่กิน อาจใช้รางไม้ไผ่ผ่าครึ่งก็ได้
3. รางอาหาร
ควรมีรางสำหรับให้อาหารไก่ เพราะการให้ไก่จิกกินอาหารบนพื้นดินทำให้ไก่เป็นโรคพยาธิได้ง่าย
ขนาดราง : |
ไก่ใหญ่ 10 ตัว ใช้รางยาว 1 เมตร
|
ไก่รุ่น 10 ตัว ใช้รางยาว 50 เซนติเมตร
|
ไก่เล็ก 10 ตัว ใช้รางยาว 20 เซนติเมตร
|
4. รางใส่กรวดและเปลือกหอยป่นผสมเกลือป่น
ไก่ทุกขนาดต้องกินกรวดและเปลือกหอยเพื่อนำไปสร้างกระดูกและเปลือกไข่ กรวดและเปลือกหอยต้องตั้งทิ้งไว้ให้กิน
ตลอดเวลา
5. รังไข่
ปกติแม่ไก่พื้นเมืองจะไข่ในรังไข่เมื่อไข่ได้ 10-12 ฟองจึงจะเริ่มฟักต้องมีจำนวนรังไข่เท่ากับจำนวนแม่ไก่ที่ไข่เพื่อ
ไม่ให้ไก่แย่งกัน ขนาดรังไข่กว้างและยาว 1 ฟุต สูง 8 นิ้วฟุต หรือใช้เข่งก็ได้รองด้วยหญ้าหรือฟางแห้งให้ถึงครึ่งควร
ตั้งรังไข่ให้อยู่ในที่มิดชิด ไม่ร้อนเกินไป ฝนสาดไม่ถึง แต่แม่ไก่เดินเข้าออกสะดวก
6. ม่านกันฝน
ด้านที่ฝนสาดหรือแดดส่องมาก ๆ ควรมีม่านผ้าใบ กระสอบ หรือเสื่อเก่า ๆ ห้อยทิ้งไว้โดยเฉพาะมุมที่วางรังไข่
7. คอนนอน
ก่อนอื่นเกษตรกรต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ไก่ต้องการอาหารเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ใช้ชีวิต
ประจำวัน เช่น หายใจ เดิน วิ่ง และการกินอาหาร ใช้ในการสร้างกระดูก เนื้อ หนัง ขน เล็บ และส่วนต่าง ๆ ของร่าง
กาย ใช้ในการสร้างไข่ และผลิตลูกไก่ ดังนั้น การที่ไก่จะเจริญเติบโตดี มีความแข็งแรง และให้ไข่มาก ไก่ จะต้อง
ได้กินอาหารเพียงพอ และได้กินอาหารดี โดยสม่ำเสมอทุกวัน
ไก่ต้องการอาหารประเภทใดบ้าง
ความต้องการอาหารของไก่คล้ายกับคนมาก ไก่ต้องการอาหารทั้งหมด 6 อย่างคือ
1. อาหารประเภทแป้ง เพื่อนำไปสร้างกำลัง ใช้ในการเดิน การวิ่ง อาหารประเภทนี้ได้จากรำ ปลายข้าว ข้าวโพด
ข้าวเปลือก กากมันสำปะหลัง
2. อาหารประเภทเนื้อ เพื่อนำไปสร้างขน เล็บ เลือด เนื้อหนัง อาหารประเภทนี้ได้จากแมลง ไส้เดือน ปลา ปลาป่น
3. อาหารประเภทไขมัน นำไปสร้างความร้อนให้ร่างกาย อบอุ่นได้จากกากถั่ว กากมะพร้าว ไขสัตว์ น้ำมันหมู กากงา
4. อาหารประเภทแร่ธาตุ ไก่ต้องการอาหารแร่ธาตุไปสร้างกระดูก เลือด และเปลือกไข่ แร่ธาตุต่าง ๆ ได้จาก
เปลือกหอยป่น กระดูกป่น
5. อาหารประเภทไวตามิน สร้างความแข็งแรง และกระปรี้กระเปร่าแก่ร่างกาย สร้างความต้านทานโรค และบำรุง
ระบบประสาท มีในหญ้าสด ใบกระถิน ข้าวโพด รำข้าว ปลาป่น
6. น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดต่อร่างกาย ถ้าขาดน้ำไก่จะตายภายใน 24 ชั่วโมง ต้องมีน้ำให้ไก่กินตลอดเวลา
การปล่อยให้ไก่หาอาหารเองตามธรรมชาติจนเคยชิน ทำให้เกษตรกรเข้าใจว่าไก่กินรำและปลายข้าวและอาหารตาม
ธรรมชาติก็เป็นการเพียงพอแล้วแต่การที่จะเลี้ยงไก่ให้ได้ผลดีนั้นเกษตรกรจะต้องให้การเอาใจใส่เรื่องอาหารและน้ำให้
มากขึ้นโดยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
1. ให้น้ำสะอาดตั้งไว้ให้ไก่กินตลอดวัน และคอยเปลี่ยนน้ำทุก ๆ วัน
2. ให้อาหารผสมทุกเช้าเย็นเพิ่มเติมจากอาหารที่ไก่หากินได้ตามปกติ
3. ให้อาหารไก่หลาย ๆ ชนิดผสมกัน เช่น ปลายข้าว รำข้าว ข้าวโพดป่น ปลาป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว หัว
อาหารไก่สำเร็จรูปชนิดเม็ดหรือชนิดผง
4. มีเปลือกหอยป่นผสมเกลือป่นตั้งทิ้งไว้ให้ไก่กินตลอดเวลา
5. ให้หญ้าสด ใบกระถิน หรือผักสดให้ไก่กินทุกวัน
6. ในฤดูแล้ง ไก่มักจะขาดหญ้ากินเกษตรกรควรปลูกกระถินไว้บริเวณใกล้ ๆ คอก วิธีปลูกนั้นให้นำเมล็ดกระถินมา
ลวกด้วยน้ำร้อนนาน 2 ถึง 3 นาที แล้วนำไปแช่น้ำเย็น เสร็จแล้วจึงนำไปเพาะในดินใส่ถุงพลาสติก จนกระทั่งต้น
กระถินสูงประมาณ 1 เมตร จึงย้ายไปปลูกเป็นแถวหรือแนวรั้ว เมื่อต้นกระถินติดดีแล้ว ควรตัดให้ต้นต่ำ ๆ เพื่อไก่จะได้
กินถึงหรือจะคอยตัดให้ไก่กินก็ได้ นอกจากนั้นเราอาจเพาะข้าวเปลือกหรือถั่วเขียวให้ไก่กินก็ได้ การเพาะถั่วเขียวให้
เอาเมล็ดถั่วเขียวแช่เย็นไว้ 12 ชั่วโมง ล้างใส่ไหคว่ำไว้หมั่นรดน้ำทุก 2-3 ชั่วโมง พอครบ 3 วันก็เอาออกให้ไก่กิน
ได้ ถั่วเขียว 4 กระป๋องนมให้แม่ไก่กินได้ประมณ 100 ตัว
7. การใช้หัวอาหารไก่สำเร็จรูปผสมลงในรำข้าวหรือปลายข้าวเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด เนื่องจากเกษตรกรสามารถหา
ซื้อได้ง่ายและผสมได้สะดวกเป็นวิธีที่จะเสริมให้ไก่เจริญเติบโตรวดเร็วขึ้น
8. การสังเกตว่าไก่ได้อาหารเพียงพอหรือไม่ให้ดูว่าในระยะแรกที่ให้อาหารไก่จะรีบกินและมีการแย่งกัน ถ้าไก่กิน
อาหารไปเรื่อย ๆ และเลิกแย่งกันกินอาหารช้าลง มีการคุ้ยเขี่ย แสดงว่าไก่ได้กินอาหารเพียงพอแล้ว สำหรับให้ไก่นอน
ควรจะพาดไว้มุมใดมุมหนึ่งของเล้า คอนนอนควรเป็นไม้กลมดีกว่าไม้เลี่ยมซึ่งไก่จะจับคอนนอนได้ดีและเป็นการ
ป้องกันไม่ให้
แม่ไก่พื้นเมืองจะเริ่มให้ไข่ เมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน การไข่มีลักษณะเป็นชุด เฉลี่ยแล้วจะไข่ปีละประมาณ 4 ชุด
ๆ ละประมาณ 10-12 ฟอง แม่ไก่เมื่อไข่หมดชุดแล้วก็จะเริ่มฟักไข่ ก่อนจะให้แม่ไก่ฟักไข่ ควรฆ่าไรและเหาบนตัวแม่
ไก่เสียก่อนโดยจับแม่ไก่จุ่มน้ำยาฆ่าไร เหา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไรและเหารบกวนแม่ไก่ในขณะกกไข่
การฟักไข่นั้น ในเวลากลางคืนแม่ไก่จะนอนกกไข่ตลอดคืนและออกหากินในเวลาเช้า ตอนกลางวันแม่ไก่จะขึ้นกกไข่
ครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วลงจากรังไข่ออกหากินสลับกันไปแล้วจะกลับมากกไข่อีก เมื่อแม่ไก่ฟักไข่ไปได้
ประมาณ 5-7 วัน ควรเอาไข่มาส่องดูเชื้อ โดยใช้กระดาษแข็งมาม้วนเป็นรูปกระบอก เอาไข่ไก่มาชิดที่ปลายท่อด้าน
หนึ่งแล้วยกขึ้นส่องดูกับแสงแดด ไข่ที่มีเชื้อจะเห็นมีจุดดำอยู่ข้างในและมีเส้นเลือดสีแดงกระจายออกไป ส่วนไข่ที่ไม่
มีเชื้อจะใสไม่เห็นเส้นเลือดต้องคัดออกและเอาไปกินได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้แม่ไก่ฟักไข่ที่มีเชื้อที่เหลือได้ดีขึ้นและ
ได้ดีขึ้นและได้ลูกไก่มากขึ้น
แม่จะใช้เวลาฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 21 วัน เมื่อลูกไก่ฟักออกหมดแล้ว ควรเอาฟางที่รองรังไข่รวมทั้งเปลือก
ไข่เผาทิ้งเสียและทำความสะอาดรังไข่
เมื่อลูกไก่ออกจากไข่หมดแล้วควรให้แม่ไก่เลี้ยงลูกเองโดยการย้ายทั้งแม่ไก่และลูกไก่ลงมาขังในสุ่มหรือกรงบนพื้น
ดินที่แห้ง ในระยะแรกควรมีถาดอาหารสำหรับใส่รำ ปลายข้าวหรือเศษข้าวสุกให้ลูกไก่กิน และมีถ้วยหรืออ่างน้ำตื้น ๆ
ใส่น้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา เมื่อลูกไก่อายุประมาณ 2 อาทิตย์ ลูกไก่แข็งแรงดีแล้วก็เปิดสุ่มออกปล่อยให้ลูกไก่
ไปหากินกับแม่ไก่ได้ ซึ่งโดยธรรมชาติแม่ไก่จะเลี้ยงลูกประมาณ 1-2 เดือน จึงจะแยกจากลูกเพื่อผสมพันธุ์และวาง
ไข่ใหม่ หรือถ้าต้องการให้แม่ไก่เตรียมตัวไข่รุ่นต่อไปเร็วขึ้น หลังจากปล่อยให้เลี้ยงลูกได้ 2 อาทิตย์ ก็ให้แยกลูก
ออกจากแม่นำไปเลี้ยงในกรงต่างหาก เพื่อให้แม่ไก่พักตัวแล้วเตรียมตัวไข่รุ่นต่อไป ลูกไก่อายุ 2 อาทิตย์ที่แยก
จากแม่ใหม่ ๆ ยังหาอาหารไม่เก่งและยังป้องกันตัวเองไม่ได้ ต้องเลี้ยงในกรงต่างหากเพื่อให้ลูกไก่แข็งแรง ปราด
เปรียวจนอายุได้เดือนครึ่งถึงสองเดือนจึงจะปล่อยเลี้ยงได้ ลูกไก่ระยะนี้เป็นช่วงที่ล่อแหลมมาก มักจะมีการตายมาก
ที่สุดเจ้าของต้องดูแลเอาใสใส่อย่างใกล้ชิดเรื่องน้ำ อาหารและการป้องกันโรค ในกรณีที่มีแม่ไกเลี้ยงลูกขนาดต่าง ๆ
กันหลายแม่ ควรจะมีสุ่มที่ขนาดตาถี่หรือตาห่างหลาย ๆ ขนาด มีอาหารและน้ำใส่ไว้ข้างในเพื่อเป็นการป้องกันไก่เล็ก
ถูกเหยียบหรือเตะตาย เพราะไก่เล็กจะเข้าสุ่มที่มีรูเล็ก ลูกไก่รุ่นใหญ่ก็จะเข้าสุ่มที่มีตาใหญ่ ไก่รุ่นโตแล้วจะอยู่ข้างนอก
เข้าไปไม่ได้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการช่วยให้ลูกไก่เล็กได้กินอาหารเต็มที่ โตเร็วขึ้นและตายน้อยลง กรณีที่เกษตรกรมีไก่
รุ่น อายุ 3-4 เดือน จำนวนมาก ๆ ควรนำมาเลี้ยงขังกรงขุนให้กินอาหารเต็มที่ลัก 1 เดือน จะทำให้ไก่อ้วนขายได้
ราคาดีซึ่งจะเป็นวิธีการช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดบาดแผลที่หน้าอกไก่อีกด้วย
เกษตรกรสามารถคัดเลือกไก่พื้นเมืองไว้ทำพันธุ์ได้ โดยการปฏิบัติดังนี้
พ่อไก่ที่ดีจะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ และแข็งแรง มีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 กก.ขึ้นไป มีอายุตั้งแต่ 9 เดือน แต่ไม่เกิน 3
ปี แม่ไก่ที่ดี จะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์และแข็งแรง มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.5 กก.ขึ้นไป มีอายุตั้งแต่ 7 เดือน แต่ไม่เกิน
3 ปี
ให้ไข่อย่างน้อยปีละ 4 ชุด
ให้ไข่อย่างน้อยชุดละ 12 ฟอง
ฟักไข่ออกอย่างน้อยชุดละ 8 ตัว
เลี้ยงลูกเก่ง เลี้ยงลูกรอดจนโตชุดละ 6 ตัว
ไม่ดุร้าย คอยจิกตีลูกไก่ของแม่ไก่ตัวอื่น หมั่นคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เสมอ ๆ ถ้าแก่เกิน 3 ปี ต้องคัดออก
พ่อพันธุ์ 1 ตัว สามารถใช้ผสมพันธุ์หรือคุมฝูงแม่ไก่ได้ 6-10 ตัว เก็บลูกไก่ที่เกิดจากพ่อแม่ไก่ที่ดีไว้ทำพันธุ์ รุ่น
ละ 2-3 ตัว การคัดเลือกพันธุ์ไก่ที่ดีไว้ทำพันธุ์จะช่วยให้ไก่ในฝูงมีขนาดตัวโตให้ไข่ดก เลี้ยงลูกดี เลี้ยงลูกรอดมาก
และลูกไก่โตเร็ว ทำให้ผู้เลี้ยงได้ผลตอบแทนสูง
การเลี้ยงไก่พื้นเมืองไว้กินไข่นี้มีการจัดการง่าย ๆ เราต้องดูแลเอกใจใส่พอสมควร เมื่อแม่ไก่เริ่มไข่โดยเฉพาะแม่ไก่ที่
ไข่ดกจะไข่ในตอนเช้า พอรุ่งขึ้นไข่ใหม่อีก 1 ใบ ก็เก็บไข่ใบเก่าออก และเก็บออกทุก ๆ วัน โดยให้เหลืออยู่ในรังไข่
ใบเดียว ไก่ก็จะไข่ไปเรื่อย ๆ พอสังเกตเห็นว่าไก่จะเริ่มฟัก คือมันจะกินอาหารน้อยลง เพื่อบังคับตัวมันเองไม่ให้ไข่ต่อ
ไป จะต้องแยกแม่ไก่มาขังเลี้ยงไว้ต่างหาก ซึ่งเกษตรกรควรมีคอกไว้สำหรับขังแม่ไก่ไม่ให้มันฟักไข่ได้แล้วหาอาหาร
ที่มีโปรตีน เช่น พวกปลาป่นกับรำ และปลายข้าว หรือถ้ามีอาหารไก่ไข่ให้กินยิ่งดี แล้วเอาตัวผู้รุ่นหนุ่มใส่ให้อยู่ด้วยกัน
ประมาณ 4-5 วัน ไก่ก็จะเริ่มไข่อีก แบบนี้เป็นวิธีการเลี้ยงไก่พื้นเมืองไว้กินไข่ เราจะได้ไข่อยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งถ้า
เราปล่อยให้แม่ไก่ฟักไข่ไปได้ 2-3 วัน แล้วเราแยกออกจะต้องกินเวลาเป็นอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ แม่ไก่จึงจะเริ่มไข่
ใหม่ ถ้าเราต้องการขยายพันธุ์ พอสังเกตเห็นหว่าสีขนและหน้าเริ่มซีดมากขนจะเริ่มร่วง มันจะผลัดขนและจะไม่ไข่
ในช่วงนี้ควรปล่อยให้แม่ไก่ฟักไข่และเลี้ยงลูก ซึ่งมักจะเริ่มผลัดขนก่อนช่วงหน้าหนาว เราก็จะได้ลูกไก่ตอนหน้าหนาว
ซึ่งลูกไก่จะมีเปอร์เว็นต์ฟักออกสูง และมีอาหารสมบูรณ์ ลูกไก่จะโตเร็วส่วนแม่ไก่หลังจากเลี้ยงลูกแล้วประมาณ 47
วัน ก็จะเริ่มไข่ใหม่ เราก็จัดการแบบเดิมอีก ก็จะมีไข่กินตลอดเวลา
ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงไก่คือ เรื่องโรค เช่น โรคนิวคาสเซิลโรคหลอดลมอักเสบ โรคอหิวาต์ โรคฝีดาษ นอก
จากนี้ยังมีโรคพยาธิต่าง ๆ ทั้งพยาธิภายนอก เช่น เหา ไร หมัด และพยาธิภายใน เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวแบน
พยาธินัยน์ตาไก่
การสุขาภิบาลที่ดี การให้วัคซีนป้องกันโรค โดยสม่ำเสมอ การสุขาภิบาล เป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันโรค
และพยาธิไก่เพราะถ้าการสุขาภิบาลไม่ดีจะเป็นสาเหตุให้ไก่สุขภาพเลวลง ไม่แข็งแรงเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งมีข้อ
แนะนำ ดังนี้
1. ควรดูแลทำความสะอาดเล้าและภาชนะต่าง ๆ ที่วางไว้ในเล้าไก่และบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และอย่า
ปล่อยให้เล้าชื้นแฉะเพราะจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรค
2. สร้างเล้าให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
3. กำจัดแหล่งน้ำสกปรกรอบ ๆ บริเวณบ้านเล้าไก่และใกล้เคียง
4. อาหารไก่ต้องมีคุณภาพดี อาหารที่กินไม่หมดให้ทิ้งอย่าปล่อยให้เน่าเสีย
5. มีน้ำสะอาดให้ไก่กินตลอดเวลา
6. ถ้ามีไก่ป่วยไม่มากนัก ควรกำจัดเสีย และจัดการเผาหรือฝังให้เรียบร้อยจะช่วยกำจัดโรคได้เป็นอย่างดี
7. อย่าทิ้งซากไก่ลงแหล่งน้ำเป็นอันขาด เพราะเชื้อโรคจะแพร่กระจายไปได้
8. กำจัดซากไก่โดยวิธีเผาหรือฝัง ไม่ควรนำไปจำหน่าย เพราะจะทำให้เกิดโรคแพร่ระบาดได้
9. วิธีป้องกันโรคอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่ควรซื้อไก่สดจากตลาดหรือหมู่บ้านอื่นมากิน เพราะไก่พวกนี้อาจเป็นโรคมา
แล้วก็ได้
10. เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น เจ้าของไก่ควรติดต่อหารือกับสัตว์แพทย์โดยเร็ว การใช้วัคซีนป้องกันโรคระบาดไก่
ถึงแม้ว่าเราจะได้มีการสุขาภิบาลที่ดีแล้ว แต่โดยปกติในสิ่งแวดล้อมจะมีเชื้อโรคอยู่ ซึ่งสามารถทำให้ไก่เป็นโรคได้ทุก
เวลา เราจึงต้องสร้างความต้านทานโรคให้กับไก่ของเราโดยการ ใช้วัคซีนป้องกันโรค ควรให้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ และทำ
ตามตารางที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการป้องกันโรคที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยและได้ผลค่อนข้างดี
สุขภาพของไก่ต้องแข็งแรงไม่เป็นโรค
วัคซีนมีคุณภาพดี เก็บรักษาดีโดยต้องเก็บในที่เย็น เช่น ใส่กระติกน้ำแข็งหรือตู้เย็น ไม่ควรให้ถูกแสงแดดจะทำให้
วัคซีนเสื่อมใช้ไม่ได้ผล เครื่องมือที่ใช้กับวัคซีนสะอาดและผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคแล้ว ฉีดวัคซีนให้ครบตามขนาด
ที่กำหนด ฉีดวัคซีนโดยสม่ำเสมอ และพยายามฉีดวัคซีนไก่ที่มีสุขภาพดีทุกตัวในฝูงเดียวกัน
กรมปศุสัตว์ พญาไท กรุงเทพฯ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ ทุกอำเภอ การซื้อวัคซีต้องนำกระติก
บรรจุน้ำแข็งไปเพื่อใส่วัคซีนที่ซื้อทุกครั้ง เพราะวัคซีนต้องเก็บรักษาในความเย็นมิให้ถูกแสงสว่าง เพื่อรักษาคุณภาพ
ของวัคซีนมิให้เสื่อมใช้ไม่ได้ผล นอกจากวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ที่ไม่ต้องเก็บไว้ในความเย็น และถ้าท่านยัง
ไม่เข้าใจวิธีใช้วัคซีนให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ผู้ขายวัคซีน
ไก่มักจะเป็นโรคนิวคาสเซิล โรคอหิวาต์ โรคฝีดาษ หลอดลมอักเสบ เป็นประจำ เกษตรกรจึงควรใช้วัคซีนป้องกันโรค
ตามตารางที่กำหนด
เป็นโรคระบาดไก่ที่ร้ายแรงที่สุด มีระบาดทั่วไป ถ้าเกิดขึ้นในฝูงใดมักจะทำให้ตายหมดเล้า ในไก่ใหญ่ทำให้ไข่ลด
อาการของโรคนิวคาสเซิล
อาการ
- ปกติจะแสดงอาการป่วยหลังได้รับเชื้อโรคเป็นเวลา 3-6 วัน โดยแสดงอาการหายใจลำบาก มีเสียงดังในเวลา
หายใจ มีน้ำมูกไหล ท้องเสีย กระตุก คอบิด ขาและปีกเป็นอัมพาต ใช้การไม่ได้ บางรายอุจจาระร่วงเป็นสีเขียว แม่ไก่
ที่กำลังไข่จะหยุดไข่ทันที และมักตายภายใน 1 อาทิตย์
- ไก่ที่หายจากโรคนี้มักจะพิการ คอบิด ขาและปีกใช้งานไม่ได้ดี และจะเป็นตัวอมโรคต่อไป สาเหตุและการติดต่อ
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง การติดต่อของโรคเป็นไปรวดเร็วมากดังนี้
- ติดต่อกันโดยตรงในไก่ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกัน กินน้ำและอาหารร่วมกัน
- ติดไปกับอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ คนและสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ตลอดจนนก หนู และแมลงวันก็เป็นตัวนำโรคได้ -
จากการชำแหละไก่ที่ป่วยและตายด้วยโรคนี้ ซึ่งในซากไก่จะมีเชื้ออยู่ในปริมาณสูงมากพอที่จะแพร่ระบาดไปยังไก่ตัว
อื่น ๆ ในเล้าและไก่บริเวณใกล้เคียงได้
การป้องกัน
โดยการใช้วัคซีนป้องกันซึ่งมี 2 ชนิด ด้วยกันคือ ชนิดหยอดจมูกและชนิดแทงปีกซึ่งใช้กับไก่อายุ 3 เดือนขึ้นไป
การใช้วัคซีนป้องกันโรคคาสเซิล ทำตามตารางดังนี้
ชนิดวัคซีน อายุไก่ วิธีให้ ขนาดวัคซีน ระยะคุ้มโรค
ชนิดหยอดจมูก 1-7 วัน |
หยอดจมูก |
1-2 หยด |
ระยะสั้นควรให้ครั้งที่สอง
เมื่อไก่อายุ 21 วัน |
ชนิดหยอดจมูก 21 วัน |
หยอดจมูก |
1-2 หยด |
ควรให้วัคซีนนิวคาสเซิลชนิดแทง
ปีกอีกครั้งเมื่อไก่อายุ 3 เดือน |
ชนิดแทงปีก 3 เดือน |
ใช้เข็มคู่แทงผนังปีก
(ระวังอย่าให้ถูกเส้นเลือด) |
1 ครั้ง |
6 เดือน |
ขั้นตอนการทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล
วัคซีนชนิดหยอดจมูกและเครื่องมือ |
วัคซีนชนิดแทงปีก |
ผสมวัคซีนด้วยน้ำยาละลาย |
ใช้เข็มแทงปีกจุ่มวัคซีน |
หยอดจมูก |
ตำแหน่งแทงปีก |
เป็นโรคระบาดที่พบได้มากในลูกไก่และไก่รุ่น นอกจากนี้นกพิราบก็เป็นโรคนี้ได้ ติดต่อได้รวดเร็วมาก มักจะทำให้ไก่
ตายเป็นจำนวนมาก ตัวที่ไม่ตายจะแคระแกรนไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร อาการ หลังจากไก่ได้รับเชื้อโรคแล้ว
ประมาณ 1 อาทิตย์จะแสดงอาการ ซึ่งอาจพบได้ 2 ลักษณะ คือ
1. เกิดตุ่มฝีดาษลักษณะคล้ายหูดเกิดขึ้นตามผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน เช่น บริเวณหน้า หงอน เหนียง หนังตา และขา
ระยะแรกเป็นเม็ดตุ่มเล็ก ๆ ต่อมาจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ที่หัวของฝีเป็นแผลมีสะเก็ดสีน้ำตาลปิดอยู่ ต่อมาจะแห้งและลอก
หลุดออกไป
2. ตุ่มฝีดาษ ชนิดที่เป็นแผลเกิดขึ้นในลำคอ ทำให้กินอาหารลำบากน้ำลายไหลยืด มีกลิ่นเหม็นเป็นมาก ๆ จะทำให้
ไก่ตายได้
ฝีดาษในไก่ |
ฝีดาษในนกพิราบ |
สาเหตุและการติดต่อ
เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อได้หลายทาง ดังนี้
- ทางบาดแผล เช่น แผลที่เกิดจากถูกของมีคม แผลจากการจิกตีกันในฝูง
- ยุงเป็นพาหนะที่สำคัญในการนำเชื้อโรคไประบาดในไก่ตัวอื่น ๆ โดยยุงกินเลือดสัตว์ป่วยในระยะที่มีเชื้อโรคอยู่ใน
กระแสเลือด เชื้อโรคก็จะเข้าไปอยู่ในตัวยุง เมื่อยุงไปกัดดูดเลือดไก่อีกตัวหนึ่งก็จะปล่อยเชื้อโรคเข้าไปทำให้ไก่เป็น
โรค
การป้องกันและรักษา
1. ในการเลี้ยงลูกไก่เล็ก ควรระวังอย่าให้ยุงกัด
2. ใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนทาตามตุ่มฝีที่เกิดขึ้นเพื่อลดการอักเสบของฝีและให้ยาปฏิชีวนะละลายน้ำให้กินติดต่อกัน 3-4
วัน
3. การทำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษไก่ ใช้เข็มแทงปีก โดยแทง 1 ครั้งทำกับไก่อายุ 1 อาทิตย์ขึ้นไป ไก่จะมีภูมิคุ้ม
กันโรคฝีดาษได้นาน 1 ปี
ขั้นตอนการทำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ
วัคซีนและเครื่องมือ |
ผสมวัคซีนด้วยน้ำยาละลาย |
ใช้เข็มแทงปีกจุ่มวัคซีน |
ตำแหน่งแทงปีก |
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่พบได้ในไก่ เป็ด ห่าน และนกอีกหลายชนิดระบาดได้ทุกฤดูกาล
อาการหงอยซึม เบื่ออาหาร
สาเหตุและการติดต่อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ติดต่อได้หลายทาง เช่น
- โดยกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคเข้าไปและติดต่อกันต่อไปในสัตว์ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกัน
- เชื้อโรคติดไปกับอุปกรณ์การเลี้ยง คน และสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ตลอดจน นก หนู ก็เป็นตัวนำโรคได้
- เป็ด-ไก่ที่เลี้ยงใกล้แหล่งน้ำ ซากเป็ด-ไก่ที่เป็นโรคและสิ่งขับถ่ายที่ตกลงในน้ำนั้น เชื้อโรคจะแพร่กระจายไปตาม
กระแสน้ำได้
- จากการชำแหละเป็ด-ไก่ ที่ป่วยและตายด้วยโรคซึ่งเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปสู่เป็ด-ไก่ ตัวอื่น ๆ ในเล้าและ
เป็ด-ไก่บริเวณใกล้เคียงได้
อาการ
ถ้าเป็นอย่างร้ายแรงเป็ด-ไก่อาจตาย โดยไม่แสดงอาการให้เห็น ถ้าเป็นอย่างอ่อน ไก่อาจจะป่วยเป็นแรมเดือน มี
อาการหงอยซึม เบื่ออาหารกระหายน้ำจัด ท้องร่วง อุจจาระมีสีเหลืองหรือเขียว หงอนและเหนียงมีสีคล้ำกว่าปกติ ใน
รายที่เป็นอย่างเรื้อรัง เหนียงจะบวม บางตัวจะบวมที่ข้อขา ทำให้เดินไม่สะดวก
การป้องกันและรักษา
1. การสุขาภิบาลสำคัญมากในการป้องกันโรค ต้องระวังความสะอาดภายในเล้าไก่ การสร้างโรงเรือนต้อง โปร่ง เย็น
สบาย ไม่อบอ้าว ไม่สกปรก
2. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาห์เป็ด-ไก่ เมื่อไก่อายุ 1-3 เดือน ฉีดวัคซีนแทงเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง
จำนวน 1 ซีซี. ไก่จะมีภูมิคุ้มโรคได้นาน 3 เดือน หรือไก่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อหรือได้ผิวหนัง
เช่นกัน แต่ใช้จำนวน 2 ซีซี. ไก่ก็จะมีภูมิคุ้มโรคได้นาน 3 เดือน และต้องทำซ้ำทุก 3 เดือน
3. การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาซัลฟาบางตัวละลายน้ำให้ไก่กินติดต่อกัน 2-3 วัน และควรหารือกับ
สัตวแพทย์ในท้องที่
ขั้นตอนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์เป็ด -ไก่
วัคซีนและเครื่องมือ |
ดูดวัคซีน |
ตำแหน่งฉีดวัคซีนในไก่ |
ตำแหน่งฉีดวัคซีนในเป็ด |
หลอดลมอักเสบติดต่อ
เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ เกิดได้กับไก่ทุกอายุ แต่ในลูกไก่เล็กจะติดโรคนี้ได้ง่ายกว่าและตายมากกว่าในไก่ใหญ่
อาการ
ไก่แสดงอาการคล้ายเป็นหวัด โดยเฉพาะในลูกไก่จะมีอาการหายใจลำบาก อ้าปากเวลาที่หายใจและมีเสีนงดังครืด
คราด ตาแฉะ หงอยซึม ลูกไก่มักตายเพราะหายใจไม่ออก เนื่องจากจะมีน้ำเมือกอุดในหลอดลม ส่วนในแม่ไก่จะตาย
น้อยกว่า แต่มีผลกระทบต่อการไข่ ทำให้ไข่ลดลงอย่างรวดเร็ว คุณภาพของไข่เลวลง เช่น เปลือกไข่บาง นิ่ม ขรุขระ
ไข่ขาวเหลวเป็นน้ำ ฟักออกเป็นตัวน้อย
สาเหตุและการติดต่อ
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง การแพร่ระบาดรวดเร็วมาก ไก่จะได้รับเชื้อโรคโดยการหายใจเอาเชื้อโรคที่ปลิวฟุ้งอยู่ใน
อากาศ หรือการกินเอาเชื้อโรค ที่ปนอยู่ในอาหารหรือน้ำเข้าไป
การป้องกัน
ในการป้องกันมิให้เกิดโรค มีข้อแนะนำ ดังนี้
1. อย่าเลี้ยงลูกไก่ต่างรุ่นปนเปกัน ควรเลี้ยงไก่เล็กให้อยู่ห่างจากไก่ใหญ่
2. หมั่นดูแลความสะอาดเล้าไก่ และภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในเล้าไก่และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค
3. อาหารที่ใช้เลี้ยงไก่ต้องเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี อาหารที่ไก่กินไม่หมดให้ทิ้ง อย่าปล่อยให้เน่าเสีย ควรกวาดล้าง
ให้หมด
4. โรคนี้ไม่มียารักษาโดยตรง วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ การให้วัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้า โดยใช้วัคซีนหยอดตาหรือ
หยอดจมูกลูกไก่ เมื่ออายุได้ 2 อาทิตย์ และหยอดซ้ำทุก ๆ 3 เดือน
พยาธิที่สำคัญ
พยาธิภายนอก
พยาธิภายนอกได้แก่ เหา หมัด ไร ที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังและขนไก่จะดูดเลือดและกัดกินผิวหนังและขนไก่ ทำความ
รำคาญทั้งกลางวันและกลางไก่ไม่มีความสุข สุขภาพไก่อ่อนแอ ซูบผอมลง โลหิตจางและความต้านทานโรคลดลง
การรักษา
โดยใช้ยากำจัดพยาธิภายนอกที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น โรทิโนนมาลาไทออนใช้ละลายน้ำฉีดพ่นบริเวณเล้าไก่
และกรงไก่เป็นประจำอย่าให้ถูกตัวไก่ แต่เวลาพ่นจะต้องระวังเพราะเป็นอันตราย โดยใช้มาลาไทออน 5% แต่อาจใช้
ละลายน้ำอย่างอ่อน ๆ ในขนาดเพียง 0.5% จุ่มไก่ลงในน้ำยาเพื่อฆ่าหมัดหรือไรตามตัวไก่ ที่ใช้ทั่ว ๆ ไป ได้แก่ โล่ติ๊น
ทุบแช่น้ำให้น้ำขาวออกแล้วผสมน้ำลงไปพอประมาณ จับไก่ลงจุ่ม หรือจะใช้ยาผงสำเร็จรูปโรยตามตัวไก่โดยตรงก็ได้
หรืออาจใช้ยาสูบอย่างฉุนแช่น้ำในปี๊บให้เข้มข้นแล้วจับตัวไก่จุ่มลงไปหรือจะตำยาสูบอย่างฉุนให้ป่นแล้วนำไปโรยตาม
รังไข่และบริเวณเล้าไก่ก็ได้ หรืออีกวิธีหนึ่ง ให้ทำที่เกลือกฝุ่น โดยนำกล่องสี่เหลี่ยมลึกประมาณ 1 คืบ ใช้ยาสูบอย่าง
ฉุนต่ำให้ป่นเป็นแป้งผสมกับปูนขาว (หรือขี้เถ้า) และดินใส่ไว้ในลัง ราดน้ำให้ชุ่มนิดหน่อยเพราะไก่ชอบเกลือกวิธีนี้จะ
ช่วยลดเหาะและไรไก่ลงได้ ทั้งประหยัดและได้ผลดี
ไส้เดือนของไก่
พยาธิไส้เดือนของไก่พบในไก่พื้นเมืองบ่อย ๆ พยาธิชนิดนี้จะทำอันตรายไก่ระหว่างอายุ 1-3 เดือนได้มาก ถ้าป้องกัน
มิให้ไก่เป็นพยาธินี้จนอายุ เกิน 3 เดือนไปแล้ว อันตรายและความเสียหายจะมีน้อยลง ไข่พยาธิจะปนออกมากับ
อุจจาระ เมื่อความร้อนและความชุ่มชื้นพอเหมาะ ไข่พยาธิจะเจริญเป็นระยะติดต่อซึ่งจะมีตัวอ่อนอยู่ภายใน ไก่จะติด
พยาธิโดยกินไข่ระยะติดต่อเข้าไป ไก่อายุ 1-3 เดือน เมื่อเป็นโรคพยาธิชนิดนี้จะมีอาการซูบผอม เบื่ออาหาร ขน
หยอง ปีกตก เติบโตช้า ท้องเสีย ถ้ามีพยาธิมาก ลูกไก่อาจตายภายใน 10 วัน ในไก่ใหญ่ จำนวนไข่ลดลงจนสังเกต
เห็นได้ชัด
การป้องกันและกำจัดพยาธิ
1. ทำความสะอาดคอก กวาดอุจจาระบ่อย ๆ แล้วนำไปทิ้งให้ไกลจากที่เลี้ยงไก่ หรือเอาไปใส่ถังไม้ 2 ชั้น ซึ่ง
ระหว่างกลางใส่ขี้เลื่อยไว้และมีฝาปิด และทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ ไข่พยาธิจะถูกทำลายเอาอุจจาระไปใช้เป็นปุ๋ยได้
2. อย่าให้คอกชื้นแฉะ และพยาธิให้คอกถูกแสงแดดเสมอ
3. การเลี้ยงลูกไก่บนตะแกรงลวดตาข่ายจะป้องกันพยาธิได้ดี
4. การรักษาพยาธิไส้เดือน ใช้ยาพวกปิปเปอราซีนชนิดแคปซูล ขนาด 200 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวไก่ 1 กก.
หรือใช้ผสมลงในอาหารให้ไก่กินในขนาด 0.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไก่อายุได้ 2-3 เดือน ไม่ควรให้อาหารมากเกินไป
ควรผสมให้ไก่กินอาหารได้หมดในวันเดียว หรืออาจจะให้ไก่อดอาหารก่อนให้ยาก็ได้ เพื่อทำให้ไก่อยากกินอาหารมาก
ขึ้น ในวันที่ให้ยาถ่ายพยาธิ ต่อไปให้ซ้ำเป็นระยะ ๆ ทุก 3-4 เดือน จะช่วยให้ไก่แข็งแรงสมบูรณ์ หรือถ้าไม่สะดวกใน
การหาซื้อจะใช้ของที่มีอยู่ในพื้นบ้านก็ได้ โดยใช้หมากแข็งที่ใช้กินนำมาแช่น้ำให้อ่อนตัวแล้วตำให้แหลก ปั้นให้เป็น
เม็ดขนาดเมล็ดข้าวโพดให้ไก่กินตัวละ 1 เม็ด
นัยน์ตาไก่'>
พยาธินัยน์ตาไก่มักพบได้เสมอในไก่ที่เลี้ยงปล่อยให้หากินตามที่รกหรือในเล้าที่มีแมลงสาบอาศัยอยู่ จะพบว่านัยน์ตา
ไก่จะมีพยาธิตัวเล็ก ๆ สีขาว ยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร อยู่ในมุมตาด้านหัวตาของไก่
สาเหตุ
แมลงสาบเป็นพาหะชั่วคราวที่พยาธิจะไปเจริญเติบโตจากไข่เป็นตัวอ่อนอยู่ภายในแมลงสาบ เมื่อไก่กินแมลงสาบเข้า
ไป ก็จะติดโรคพยาธินี้ ตัวอ่อนพยาธิจะเคลื่อนตัวจากปากของไก่เข้าไปทางช่องจมูกแล้วเข้าไปในท่อน้ำตาไปสู่ที่หัวตา
อาการ
ไก่จะกะพริบตาบ่อย ๆ น้ำตาไหล ถูตากับหัวปีก พยาธิจะรบกวนตาไก่ทำให้ตาอักเสบเป็นหนอง ตาบวมปิดและจะพบ
พยาธินัยน์ตาไก่ซ่อนอยู่ที่มุมตาด้านหัวตาของไก่
การป้องกันและรักษา
ต้องกำจัดแมลงสาบให้หมดไปจากบริเวณเล้าไก่ รักษาความสะอาดของเล้าไก่ และที่เก็บอาหาร อย่าให้รกรุงรังเป็นที่
อาศัยของแมลงสาบได้ การรักษาโดยใช้ไม้พันสำลี เขี่ยเอาก้อนหนองที่นัยน์ตาออกแล้วใช้น้ำเกลือหรือน้ำมะเกลือนั้น
หรืออาจใช้ยาฉุนแช่น้ำจนได้น้ำสีชาอ่อน ๆ หยอดนัยน์ตาไก่ แล้วเขี่ยเอาพยาธิออก หยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มียา
ปฏิชีวนะ เช่น คลอแรมเฟนนิคอล เพื่อลดการอักเสบของตา วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าจะ
หายเป็นปกติ
ตารางการให้วัคซีนป้องกันโรคระบาดของไก่
ชนิดวัคซีน อายุไก่ วิธีใช้ ขนาดวัคซีน ระยะคุ้มโรค
นิวคาสเซิล
(ชนิดหยอดจมูก) |
1-7 วัน |
หยอดจมูก |
1-2 หยด |
ควรทำครั้งที่สองเมื่อไก่อายุ 21 วัน |
นิวคาสเซิล |
21 วัน |
หยอดจมูก |
1-2 หยด |
ควรทำวัคซีนนิวคาสเซิลชนิดแทง
ปีกอีกครั้งเมื่อไก่ อายุ 3 เดือน |
นิวคาสเซิล
(ชนิดแทงปีก) |
3 เดือน |
ใช้เข็มคู่แทงปีก |
1 ครั้ง |
6 เดือน |
ฝีดาษไก่ |
7 วัน |
ใช้เข็มคู่แทงปีก |
1 ครั้ง |
1 ปี |
อหิวาห์ไก่ |
ตั้งแต่ 1 เดือน |
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ |
1 ซี.ซี. |
3 เดือน ฉีดซ้ำทุก 3 เดือน |
หลอดลมอักเสบ |
14 วัน |
หยอดจมูก |
1-2 หยด |
3 เดือน ทำซ้ำทุก 3 เดือน
ห้ามใช้วัคซีนนี้พร้อมกับวัคซีน
นิวคาสเซิล ควรใช้วัคซีนชนิดนี้
ห่างกันไม่น้อยกว่า 1 อาทิตย์ |
http://web.ku.ac.th/agri/hen/hen9.htm
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.