อาจารย์วิศาล อดทน หัวหน้าคณะผู้วิจัย กล่าวว่า ปัจจุบันการเลี้ยงไก่พื้นเมืองตอน ชาวบ้านนิยมใช้
การตอนแบบฝังฮอร์โมนที่เรียกว่าเฮกเอสตรอล (hexoestrol) ที่ออกฤทธิ์ไปกดการทำงานของ
อัณฑะไม่ให้มีการเจริญพัฒนาและไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเพศผู้ได้ มีผลทำให้ร่างกายไก่สะสมไขมัน
มากขึ้น โดยฮอร์โมนมีระยะการออกฤทธิ์ประมาณ 45-50 วัน ฉะนั้น การตอนไก่แบบฝังฮอร์โมนจึง
ต้องนำไก่ไปรับประทานหลังฝังฮอร์โมนประมาณ 60 วัน แต่ในทางปฏิบัติเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ฝัง
ฮอร์โมนไม่ได้คำนึงถึงผลตกค้างฮอร์โมนในเนื้อ จึงนิยมนำไก่ออกขายหลังตอนประมาณ 30-45 วัน
เพราะหลังจาก 45 วันไปแล้วไก่จะน้ำหนักตัวลดลง และใช้อาหารเปลือง กำไรลดลง และเนื่องจาก
ฮอร์โมนตกค้างทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไก่ตอน กระทรวงสาธารณสุข จึงมีคำสั่งที่ 417/2529
ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 ให้เพิกถอนทะเบียนตำหรับยาที่มีตัวยา Hexoestrol (ราชกิจจา
นุเบกษา, 2529) ทั้งนี้เพราะมีสารตกค้างจนอาจถึงระดับทำให้เกิดอาการพิษต่อผู้บริโภคได้ แต่ใน
ทางปฏิบัติก็ยังคงมีเกษตรกรลักลอบใช้
สารเคมีนี้ในการตอนไก่อยู่จนถึงปัจจุบัน
การตอนไก่แบบผ่าข้างนั้นทำได้โดยตัดเอาอัณฑะที่เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศผู้ออก ทำให้ไม่สามารถ
ผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (testosterone) มีผลทำให้ไก่เพศผู้ตอนเป็นไก่ไม่มีเพศ และ
มีการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น แต่การตอนวิธีนี้มีความยุ่งยากในการตอน และไก่มีความเสี่ยงต่อ
การตายสูง รวมทั้งยังใช้เวลาในการเลี้ยงนานประมาณ 8-12 สัปดาห์ จึงจะจำหน่ายได้
กวาวเครือขาวมีสาระสำคัญอยู่ในกลุ่ม Isoflavonois เช่น Miroestrol และ
Deoxymiroestrol ที่ถูกสร้างโดยธรรมชาติและออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นถ้า
ใช้กวาวเครือขาวผสมลงในอาหารไก่ในอัตราส่วนที่เหมาะสมและเลี้ยงไก่ในช่วงอายุที่พอเหมาะ ทำให้
ไก่แสดงออกทางด้านสมรรถภาพการผลิตได้ใกล้เคียงกับการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (สมโภชน์ และ
คณะ, 2549) ส่วนการใช้กวาวเครือขาวในการผลิตไก่นั้น สุชาติและคณะ (2545) ได้ทำการ
ศึกษาระดับของกวาวเครือขาวในอาหารไก่ลูกผสมพื้นเมืองในระดับ 2% 4% และ 6% นาน 8
สัปดาห์ พบว่าไก่ทั้ง 3 กลุ่ม มีน้ำหนักตัวเพิ่มไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) และไม่มีการ
สะสมของสารคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในเนื้อไก่ทุกกลุ่ม ดังนั้น การใช้กวาวเครือขาวที่เป็นพืช
สมุนไพรของประเทศไทยเพื่อการผลิตไก่ตอนที่ปลอดภัยทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ถูกห้ามใช้ จึง
เป็นอีกแนวทางเลือกหนึ่งที่สามารถผลิตไก่ตอนที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค นอกจากนั้นยังลดต้น
ทุนการผลิตให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อีกด้วย
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ อาจารย์วิศาล อดทน คณะเทคโนโลยีและการพัฒนชุมชน
มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง โทร. 074-693996 หรือ 084-2525518 หรือที่
งานประชาสัมพันธ์ โทร. 074-311885-7 ต่อ 7207
ข้อมูลเพิ่มเติม
ไก่คอล่อน จังหวัดพัทลุง หรือบางคนเรียกว่า ไก่คอเปลือย สนง.เกษตร จ.พัทลุง รายงานไว้ว่า "ไก่
คอล่อนพัทลุง เป็นไก่ลูกผสมระหว่างไก่คอล่อนของฝรั่งเศสกับไก่ชนของ จ.พัทลุง (ไก่คอล่อนของ
ฝรั่งเศสเป็นไก่คอล่อนที่นำมาเลี้ยงในอินโดจีน และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้นำเข้ามาใน
ประเทศไทยเป็นอาหารของทหาร ได้ยกพลขึ้นบกที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลามีการสร้างถนน
สายยุทธศาสตร์สงขลา-พัทลุง ทำให้ไก่คอล่อนแพร่หลายในพื้นที่จังหวัดพัทลุง) แต่มีบางกระแสว่า
"ไก่คอล่อนพัทลุง" เป็นไก่ที่นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500
ลักษณะประจำพันธุ์ไก่คอล่อน เป็นไก่ที่มีรูปร่างลักษณะหลายส่วนคล้ายไก่บ้านหรือไก่อูเช่นมีขนสีดำ
เหลือบเขียว แต่จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างได้แก่ ที่บริเวณไหล่ ลำคอไปถึงศีรษะไม่มีขน จึงเรียกว่า
"ไก่คอล่อน" ตรงบริเวณด้านหลังศีรษะ (ท้ายทอย)จะมีขนเป็นกระจุกคล้ายสวมหมวก และบริเวณ
ต้นคอด้านหน้าทั้งซ้ายและขวาจะมีปอยขนอยู่ข้างละกระจุกเล็กๆ ถ้าเป็นไก่แบบคอล่อนแท้จะพบว่า
บริเวณต้นคอ หน้าอก หลัง และน่อง ก็จะไม่มีขนด้วย ลักษณะขน มักมีสีดำเหลือบเขียวทั้งตัวเป็นส่วน
ใหญ่ ขนปีกและหาง อาจมีสีขาวแซมบ้าง ลักษณะหงอน มีลักษณะแบบมงกุฎแต่มีขนาดใหญ่กว่าไก่ชน
ลักษณะเหนียง จะไม่เป็นเหนียงที่ชัดเจนเหมือนของไก่ฝรั่งแต่จะมีผิวหนังที่ใต้คางจนถึงลำคอส่วนบน
เป็นแผ่นย้วยห้อยลงมาคล้ายหนังคอวัวอินเดีย ขนาดและน้ำหนักตัว เมื่อวัยเจริญพันธุ์ เพศผู้หนัก
2.5-3.0 กก. เพศเมียหนัก 1.5-2.0 กก.เมื่อโตเต็มที่ เพศผู้หนัก 3.0-3.5กก. เพศ
เมียหนัก 2.0-2.8 กก. รูปร่างของไก่คอล่อน รูปร่างลำตัวคล้ายไก่ชนแต่มีบางลักษณะเด่นกว่าไก่
ชน เช่น มีหน้าอกกว้าง เนื้อหน้าอกเป็นมัดใหญ่มาก ถ้าเทียบกับไก่ชน ถ้ายังเป็นๆ ผู้บริโภคอาจรังเกียจ
บ้างเพราะส่วนที่ไม่มีขนจะมีหนังสีแดงดูรูปร่างไม่สวยงามเหมือนไก่ชน แต่ถ้าทำการฆ่าถอนขนแล้ววาง
คู่กับไก่บ้าน(ชน) คนก็จะเลือกไก่คอล่อนเพราะมีรูปร่างดีดูมีเนื้อมากกว่าไก่บ้าน(ชน) ที่ได้ชื่อว่าไก่
คอล่อน(พัทลุง) ก็เพราะเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในอำเภอต่างๆ ของจ.พัทลุง แต่จากการสำรวจใน
เบื้องต้นพบว่ามีการเลี้ยงกันอยู่ทั่วไปในภาคใต้ตอนล่าง แต่ไม่หนาแน่นเท่าที่จังหวัดพัทลุง