-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 277 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

ข่าวเกษตร





ต้นแบบเกษตรอินทรีย์ครบวงจร

มนัส พุ่มมะปราง ประธานศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดิน น้ำ พืช ต้นแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีชุมชน เป็นอีกผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นที่จะรักษาและสืบทอดอาชีพเกษตรกรรมต่อไปแบบปลอดภัยและยั่งยืน โดยยึดหลักเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางปฏิบัติ
   
จากอาชีพครูเปลี่ยนเป็นพ่อค้ารับซื้อข้าว ทำให้ทราบถึงพิษภัยของสารเคมีที่ตกค้างอยู่ในผลผลิต จึงได้หันเหสู่วิถีทางเข้าสู่การทำ เกษตรอินทรีย์ โดยเริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำปุ๋ยอินทรีย์ทุกชนิด ทั้งปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และสารสกัดชีวภาพต่าง ๆ พร้อมกับเข้าร่วมอบรมตามหน่วยงานต่าง ๆ แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาลงมือปฏิบัติในพื้นที่ของตนเอง 20 ไร่ จนประสบความสำเร็จ และปัจจุบันได้กลายเป็นต้นแบบของชุมชนชาว ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
   
คุณมนัสเล่าว่า ครั้งแรกเริ่มจากการปลูกผักโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตร ซึ่งผลที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้สำหรับมือใหม่หัดขับ แต่พอได้ศึกษาและเรียนรู้มากขึ้นผลสำเร็จก็ยิ่งเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลผลิต คุณภาพ สภาพดิน และที่สำคัญต้นทุนการผลิตลดลง ผมจึงได้เกิดแนวคิดที่จะผลักดันและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์สู่ชุมชน โดยได้จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดิน น้ำ พืช ต้นแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีชุมชนขึ้น ร่วมกับสถานีพัฒนาที่ดินสุพรรณบุรีกรมพัฒนาที่ดินเป็นที่ปรึกษาให้การสนับสนุน เริ่มดำเนินการก่อตั้งปี 2550 เป็นต้นมา
   
สำหรับมะละกอนั้นครั้งแรกผมได้เมล็ดพันธุ์มาจากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร (พันธุ์พืช เพาะเลี้ยง) จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพันธุ์ปลักไม้ลาย หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “มะละกอฮอลแลนด์” โดยเริ่มต้นทดลองปลูกไว้ 40 ต้น พร้อมกับเรียนรู้และศึกษาข้อมูลไปในตัว อีกส่วนหนึ่งก็ศึกษาจากตำราบ้าง สอบถามจากผู้รู้บ้าง จนทุกวันนี้เกิดความเชี่ยวชาญและ ขยายพื้นที่เพาะปลูกออกเป็น 5 ไร่ เน้นทำเกษตรอินทรีย์เต็มร้อย (ไม่ใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด)
   
ขั้นตอนการปลูกและการดูแล คุณมนัส บอกว่า พืชจะโตดีให้ผลผลิตดีต้องเริ่มต้นจากการรู้เรื่องดินเตรียมดินที่ถูกต้อง โดยปรับปรุงดินด้วยอินทรีย์  กรณีที่เป็นดินเสื่อมมากให้ใช้ปุ๋ยพืชสด โดยลงปลูกปอเทือง 45-55 วัน แล้วไถกลบ จากนั้นนำละอองข้าวหรือบางคนก็เรียกว่า คายข้าว และแกลบดำมาใส่ในแปลง อัตราส่วน 8 : 2 แล้วทำการไถกลบไปพร้อม ๆ กันอีกครั้ง เสร็จแล้วทำการยกร่องปลูกขนาด 3x3 เมตร ระยะ ปลูกที่เหมาะสม 2.50x2.50 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ใช้กล้ามะละกอประมาณ 256 ต้น หรือ 3.0x3.0 เมตร
   
การให้น้ำ มะละกอเป็นพืชที่ชอบน้ำ แต่ไม่ชอบน้ำแฉะและขัง ดังนั้นควรให้น้ำแบบพ่นฝอยหรือผ่านระบบสปริงเกลอร์ วันละประมาณ 1 ชั่วโมง หากทำการคลุมดินด้วยฟางได้ก็จะยิ่งดี เนื่องจากจะช่วยรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชได้เป็นอย่างดี ส่วนวิธีการใส่ปุ๋ย เน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยหมักเป็นหลัก โดยแต่ละครั้งจะใส่ต้นละ 5-6 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับขนาดต้น หากต้นเล็กก็ใส่น้อย ต้นใหญ่ก็ใส่มากหน่อย) ซึ่งจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์เดือนละครั้ง สลับกับการราดน้ำหมักจุลินทรีย์จากพืชสีเขียวและน้ำหมักจุลินทรีย์จากปลา (สำหรับน้ำหมักที่จะใช้ต้องนำมาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 : 200) ราดรอบ ๆ โคนต้นทุก ๆ 2-3 อาทิตย์/ครั้ง
   
สำหรับทางใบ ฉีดพ่นน้ำส้มควัน ไม้เพื่อช่วยป้องกันโรคแมลง ซึ่งจะทำให้มะละกอผิวสวย มีรสชาติดี และต้านทานโรคดีขึ้น ความถี่ในการฉีดพ่นสังเกตจากแมลง หากพบปริมาณมาก ๆ ก็จะฉีดอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าน้อยก็อาจเป็น 2-3 อาทิตย์/ครั้ง ช่วงออกดอกเสริมด้วยฮอร์โมนไข่อีกแรง ซึ่งจะช่วยให้ดอกติดดีขึ้น (ผสมอัตราส่วนเท่าเดิม) ฉีดพ่นเดือนละครั้ง สามารถผสมไปพร้อมกับน้ำส้มควันไม้ได้เลย
   
“หลายคนสงสัยว่า การใส่ปุ๋ยอินทรีย์  ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพให้แก่พืชนั้นจะได้ธาตุอาหารครบถ้วนหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่าครบ เพียงแต่ว่าท่านจะใส่ได้เพียงพอต่อความต้องการของพืชหรือไม่ ซึ่งปริมาณการใส่ปุ๋ยอินทรีย์จะต้องเน้นปริมาณมากกว่าปุ๋ยเคมี” คุณมนัส บอกเพิ่มเติม
   
นอกจากนี้ผลผลิตของมะละกอมักจะสะดุดในช่วงเดือนเมษายน คืออากาศร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จะทำให้ดอกเป็นหมัน แล้วต้นก็จะโทรม แม้จะให้น้ำมากขนาดไหนก็ยังสู้ความร้อนแรงของแสงแดดไม่ได้ ดังนั้นผลผลิตในช่วงนี้เราก็จะต้องเว้นระยะไป ช่วงเดือนพฤษภาคมต้นจะเริ่มฟื้นต้น (เริ่มมีฝนมา) และจะกลับคืนสู่สภาพที่ดีได้ในเดือนมิถุนายน
   
ปริมาณผลผลิตโดยเฉลี่ยตกอยู่ที่  วันละ 100 กว่ากิโลกรัม ซึ่งเกือบทั้งหมดจะนำไปขายเองที่ตลาดเช้า ราคาจำหน่ายกิโลกรัมละ 25 บาท ขายหมดทุกวันเนื่องจากผู้บริโภคให้ความไว้วางใจเรื่องความปลอดภัยและรสชาติที่หวานอร่อยถูกใจ หากช่วงไหนที่มีผลผลิตมาก ๆ ส่วนหนึ่งจะส่งไปขายที่บึงฉวากด้วย
   
สุดท้ายนี้คุณมนัสได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า “ในเบื้องต้นทุกคนรู้ว่า การทำเกษตรอินทรีย์นั้นปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค แต่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากเห็นผลช้า ไม่ทันใจ หรือต้องเสี่ยงกับความเสียหายของผลผลิต ซึ่งในความเป็นจริง หากผู้ทำที่มีความตั้งใจจริง มีการศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง และมีความพากเพียร ผลสำเร็จก็จะติดตามมาในไม่ช้า ผมว่า ความยากง่ายของการทำเกษตรอินทรีย์ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ทำเป็นหลัก”
   
สนใจเยี่ยมชมดูความสำเร็จด้านเกษตรอินทรีย์ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มนัส พุ่มมะปราง บ้านเลขที่  35 หมู่ 9 ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณ บุรี โทร.08-1341-5775.




ที่มา  :  เดลินิวส์ 

  









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-05 (1578 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©