"ปาล์มน้ำมัน” เป็นหนึ่งใน 4 ชนิดสินค้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบสูงจากพันธกรณีการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า (AFTA) เนื่องจากการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า หากไทยมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มราคาถูกจากประเทศดังกล่าวปริมาณมาก อาจทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมัน ในประเทศตกต่ำลงได้ ดังนั้นชาวสวนปาล์มน้ำมันจึงควรเร่งปรับลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง เพื่อให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้....
นายอนันต์ ลิลา รองอธิบดีกรม ส่งเสริมการเกษตร กล่าวถึงสถานการณ์การผลิตปาล์มน้ำมันปี 2553 กระทรวงเกษตรฯ คาดว่าพื้นที่ให้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านไร่ เนื่องจากสวนปาล์มที่ปลูกใหม่เมื่อปี 2550 ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก รวมทั้งปาล์มน้ำมันที่ปลูกทดแทนสวนไม้ผลเก่าในพื้นที่ภาคใต้ เช่น ทุเรียน เงาะ กาแฟ และปาล์มที่ปลูกในพื้นที่นาร้าง และพื้นที่ป่าพรุเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตป้อนตลาดได้ ปีนี้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตทะลายปาล์มสดรวมกว่า 10.28 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ 1.9 ล้านตัน ส่วนสถานการณ์ราคาผลปาล์มสดนั้น คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีราคาไม่ต่ำกว่า 3.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นผลจากการที่กระทรวงพลังงานมีนโยบายปรับการใช้ B2 เป็น B3 และ B5 คาดว่าจะมีความต้องการใช้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มมากขึ้น
จากผลการวิเคราะห์ปัญหาการผลิตปาล์มน้ำมันของไทย พบว่า ชาวสวนปาล์ม น้ำมันมีต้นทุนการผลิตสูง เฉลี่ยอยู่ที่ 2.58 บาทต่อกิโลกรัม โดยสาเหตุหลักมาจาก ราคาปุ๋ยเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เกษตรกร มีการใช้ปุ๋ยในอัตราที่มากเกินความต้องการของพืช ทั้งยังพบว่าโครงสร้างต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมัน ประมาณ 40% เป็นต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี
สำหรับเทคนิคการลดต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมัน เกษตรกรควรใช้ปุ๋ยให้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และเป็นไปตามความต้องการของต้นปาล์มน้ำมัน โดย ควรเก็บตัวอย่างดินและใบปาล์มน้ำมันส่งตรวจวิเคราะห์แล้ว ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินและค่าวิเคราะห์ใบ เพื่อให้ต้นปาล์มน้ำมันได้รับธาตุอาหารอย่างเหมาะสมกับความต้องการ หรือเกษตรกรอาจใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ย เคมี ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย ค่าปุ๋ยเคมีและช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้แก่เกษตรกรได้ นอกจากนั้นเกษตรกรควรเร่งปรับปรุงคุณภาพผลผลิต โดยเก็บเกี่ยวทะลายผลปาล์มที่สุกพอดีส่งโรงงาน หรือยึดตามหลักวิชาการ คือ เก็บเกี่ยวผลปาล์มที่ มีสีผิวเปลือกนอกเป็นสีส้มสดและเริ่มมีจำนวนผลสุกที่ร่วงหล่นรอบโคนต้นประมาณ 10-12 ผลต่อทะลาย ซึ่งจะมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง และมีส่วนให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มสามารถสกัดน้ำมันได้เปอร์เซ็นต์สูง อันจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์ม ของประเทศลดลงได้
อย่างไรก็ตาม ปี 2553 นี้ กรม ส่งเสริมการเกษตร มีแผนเร่งขับเคลื่อน “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์ม น้ำมัน” โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตปาล์มน้ำมัน ให้มีปริมาณและคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของโรงงาน พร้อมช่วยลดต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมันของเกษตรกรให้ต่ำลงซึ่งจะช่วยให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังเร่ง ส่งเสริมให้เกษตรกรเลือก ใช้พันธุ์ปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี ปลูก ทดแทนสวนปาล์มเก่าที่มีอายุมากกว่า 20 ปี หรือปลูกแทนสวนปาล์มผลผลิตต่ำ พร้อมพัฒนาให้ รวมกลุ่มผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน และสร้างเครือข่ายการผลิตหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สนับสนุนให้ร่วมกันจัดหาปัจจัยการผลิต ทั้งยังมุ่ง พัฒนาการรวมกลุ่มแปรรูปปาล์มน้ำมัน เพื่อผลิตไบโอดีเซลชุมชน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตลอดจนส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้เพื่อลดรายจ่ายและเสริมรายได้
ภายในปี 2555 คาดว่า... เกษตรกรจะได้รับการพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมัน รวมกว่า 50,000 คน ซึ่งจะผลิตปาล์มน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังคาดว่าจะสามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ย จาก 3 ตันต่อไร่ เป็น 3.5 ตันต่อไร่ และสามารถลดต้นทุนการผลิตจาก 1,646 บาทต่อตัน เหลือ 1,500 บาทต่อตัน จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อไร่ ซึ่งน่าจะเป็นช่องทางช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้.