-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 212 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

แฟ้มงานวิจัย79





พี เอ็ม อาร์ อาหารเพื่อโคเนื้อ โคนม ช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร



ทั้งนี้ในการประกอบอาชีพการเลี้ยงโค ไม่ว่าโคเนื้อและโคนมนั้น อาหารหยาบและอาหารข้นนับเป็นปัจจัยสำคัญที่เกษตรกรเจ้าของฟาร์มจะต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้น้ำนมดิบที่สูงขึ้นในโคนม และให้เนื้อที่มีคุณภาพในโคเนื้อ ซึ่งจะเป็นการทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ


ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ นักวิจัยภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ดำเนินการทำการวิจัยใช้ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเกษตรมาเป็นอาหารโคนม และโคเนื้อ

ซึ่งนับว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลงได้

รศ.ดร.ศรเทพ ธัมวาสร อาจารย์ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีแม่โครีดนมอยู่เกือบ 3 แสนตัว ให้นมได้ปีละ 8 แสนตัน แต่ความต้องการบริโภคนมหรือมาทำเป็นอาหารหลายรูปแบบต่างๆ ปีละ 1.5 ล้านตัน


"ดังนั้น ประเทศไทยจึงยังขาดนมดิบอยู่มาก ที่เหลือต้องนำเข้ามาในรูปนมผง แล้วนำมาแปรรูปเป็นอาหารต่อไป โคนมของไทยได้รับการปรับปรุงยกสายเลือดจากโคพื้นเมืองมาเกือบ 80 ปี เพื่อทำให้แม่โคให้นมมากขึ้น จนในปัจจุบันโคนมในประเทศไทยมีสายเลือดโคนมขาวดำหรือโฮล์สไตน์ฟรีเชี่ยน อยู่สูงไม่น้อยกว่า 85% ทำให้ได้น้ำนมดิบมากขึ้นเป็นตัวละ 10 กิโลกรัม ต่อวัน เมื่อเทียบกับ 3-4 กิโลกรัม ในอดีต"


"แต่ปัญหาใหญ่ที่พบก็คือ โคที่มีเลือดขาวดำสูงขนาดนี้ ยังให้น้ำนมดิบน้อยกว่าที่ควรจะเป็น คือควรได้ไม่น้อยกว่าวันละ 15 กิโลกรัม ต่อตัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีการให้อาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของโค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้ง ซึ่งโคจะได้กินแต่ฟางข้าวเป็นหลัก"


ส่วนในโคเนื้อนั้น อาจารย์ศรเทพกล่าวว่า ประเทศไทยมีการขุนโคเพื่อการบริโภคเนื้อที่มีความนุ่มจากโคหนุ่มเลือดผสมยุโรป ปีละประมาณ 1 หมื่น 5 พันตัว ถือว่าเป็นการลดการนำเข้าได้มาก


ดังนั้น อาจารย์ศรเทพและคณะจึงได้ทำการวิจัยทดลองอาหารสัตว์ เพื่อให้เป็นทางเลือกแก่เกษตรกร ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงโค ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ


นอกจากนี้ ยังมีการนำวัสดุเหลือใช้มาเพิ่มมูลค่า เป็นการรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีและคงอยู่อย่างยั่งยืน

โดยได้มีการวิจัยจนได้อาหารหยาบชนิดใหม่ที่มีคุณภาพดี ให้ชื่อว่า อาหาร พี เอ็ม อาร์ .....อาหารดังกล่าวนั้นสามารถนำมาทดแทนอาหารข้นและอาหารหยาบคุณภาพต่ำได้เป็นอย่างดี


โดยได้นำวัสดุเหลือใช้หรือผลพลอยได้จากการทำเอทานอลที่ใช้กากน้ำตาลและยีสต์เป็นส่วนผสม ผลพลอยได้นี้เรียกว่า วีนัส


จากข้อแนะนำของคณะวิจัยบอกว่า จะนำวีนัสมาผสมกับวัสดุเหลือใช้หรือผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมข้าวโพดหวาน อุตสาหกรรมสับปะรด และผัก ผลไม้อื่นๆ โดยผสมกับชานอ้อยป่นเพื่อให้จุลินทรีย์และวีนัสได้จับเกาะ และดูดซับเอาธาตุอาหารที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน


เมื่อนำไปหมักประมาณ 21 วัน ก็สามารถนำไปให้สัตว์กระเพาะรวม อันได้แก่ โค กระบือ กินได้ตลอดทั้งปี

พี เอ็ม อาร์ มีคุณสมบัติที่สามารถเป็นอาหารสัตว์ได้ดี เพราะมีโภชนะที่สำคัญอยู่ระหว่างอาหารข้นที่มีราคาแพง กับอาหารหยาบทั่วไปที่มีราคาแปรปรวนไปตามฤดูกาล


นอกจากนี้ พี เอ็ม อาร์ สามารถผลิตได้ปริมาณมากพอ มีคุณภาพสม่ำเสมอ และราคาคงที่ตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้เกษตรกรปรับการให้อาหารได้ตามความมากน้อยของอาหารหยาบ และราคาอาหารข้นที่แปรปรวนไปได้


ขณะเดียวกัน คุณณัฐพล สุวรรณสิน นิสิตปริญญาโท สาขาสัตวบาล ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่สถานีวิจัยของกรมปศุสัตว์ ที่ลำพญากลาง จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ได้นำอาหารดังกล่าวไปทดลองในโคนม เป็นระยะเวลา 2 ปี ผลปรากฏว่าโคนมที่กินอาหาร พี เอ็ม อาร์ และเสริมด้วยวีนัส ทำให้ต้นทุนค่าอาหารต่อการให้นมดิบ 1 กิโลกรัม ลดลงมากถึง 25% และทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย


สำหรับการวิจัยในโคเนื้อขุน คุณวลัยทิพย์ แก่นจันทร์ นิสิตปริญญาโท สาขาสัตวบาล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทดลองเป็นเวลา 2 ปี ที่สหกรณ์โคเนื้อโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร พบว่า สามารถทดแทนอาหารหยาบคุณภาพต่ำได้เป็นอย่างดี


"โดยเฉพาะในช่วงปลายของการขุน ก่อนส่งโรงงานแปรรูปนาน 180 วัน และยังช่วยลดการให้อาหารข้นที่มีราคาแพงลงได้มากถึง 30%"


นอกจากนี้ ยังพบว่าเนื้อที่เกิดจากการให้โคกินอาหาร พี เอ็ม อาร์ และวีนัส มีความนุ่มมากกว่าการให้อาหารแบบเดิม และไม่ต้องเก็บหมักในห้องเย็นนานถึง 21 วัน เพียงเก็บในห้องเย็นแค่ 7 วัน ก็สามารถให้ความนุ่มได้เท่ากับการบ่มถึง 21 วัน ด้วยวิธีการให้อาหารแบบเดิม


"ซึ่งจากการนำไปให้ผู้บริโภคชิมทดสอบเนื้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความพอใจมากกว่าเนื้อโคที่ได้รับอาหารแบบปกติอีกด้วย" ผู้วิจัยกล่าว


ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญอาจเป็นผลมาจากการที่อาหาร พี เอ็ม อาร์ และวีนัส มียีสต์และโภชนะที่สำคัญ ได้แก่ วิตามิน กรดอะมิโน พร้อมทั้งเกลือแร่ ที่ทำให้ช่วยการย่อยอาหารหยาบได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง


รศ.ดร.ศรเทพ ธัมวาสร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า อาหาร พี เอ็ม อาร์ สามารถนำไปทดแทนอาหารข้นและอาหารหยาบในโคเนื้อและโคนมได้เป็นอย่างดี โดยสัตว์ไม่เป็นอันตราย ทั้งยังช่วยเพิ่มการย่อย ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตทั้งเนื้อและนม โดยคุณภาพเนื้อและนมมีแนวโน้มดีขึ้น


"ผลการวิจัยทำให้เกิดประโยชน์เป็นทางเลือกแก่เกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ อุตสาหกรรมการเกษตร รวมทั้งพลังงานทดแทนได้เป็นอย่างดียิ่ง" รศ.ดร.ศรเทพ กล่าว


สำหรับการขยายผลงานวิจัยไปสู่เกษตรกรนั้น คณะผู้วิจัยได้รับงบฯ สนับสนุนจากบริษัทน้ำตาลมิตรผล จำกัด และได้มีการอบรมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและโคเนื้อไปแล้ว 17 รุ่น ในปี 2552 ที่ผ่านมานี้ มีเกษตรกรผ่านการอบรมจำนวน 1,084 คน


สำหรับเกษตรกรที่สนใจเกี่ยวกับอาหาร พี เอ็ม อาร์ สามารถติดต่อขอรับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ รศ.ดร.ศรเทพ ธัมวาสร ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โทรศัพท์ (02) 940-7345 โทรสาร (02) 579-6152 หรือ Email:
agrstt@ku.ac.th


และสุดท้ายนี้ มีข้อฝากเตือนมาจากกรมปศุสัตว์ ถึงการเลือกซื้ออาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มเนื้อสัตว์ ช่วงหน้าร้อนนี้

โดยกรมปศุสัตว์ แจ้งมาว่า เนื่องจากขณะนี้มีสภาพภูมิอากาศร้อนอบอ้าว อาจทำให้อาหารบูด หรือเน่าเสียง่าย ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ กรมปศุสัตว์มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังในการเลือกซื้ออาหาร กรมปศุสัตว์จึงมีข้อแนะนำที่เกี่ยวกับการเลือกซื้ออาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ในช่วงหน้าร้อนนี้


โดย คุณปรีชา สมบูรณ์ประเสริฐ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์จึงมีข้อแนะนำการบริโภคเนื้อสัตว์ให้ปลอดภัย โดยการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่บรรจุในภาชนะที่มีสัญลักษณ์คุณภาพ "Q" หรือแผงเนื้อที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง


"ซึ่งแสดงว่าเป็นเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานครบวงจร ตั้งแต่ระบบฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ การขนส่ง ตลอดจนการจัดจำหน่าย ภายใต้การควบคุมคุณภาพความปลอดภัยของกรมปศุสัตว์ โดยเนื้อสัตว์ผ่านการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการว่าไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ สารเคมี ยาปฏิชีวนะ สิ่งปนเปื้อนใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค รวมทั้งโรคสัตว์ที่อาจติดต่อถึงคนได้"


นอกจากนี้ ประชาชนต้องรู้จักสังเกตลักษณะภายนอกของเนื้อสัตว์ ดังนี้
เนื้อหมูควรเลือกหมูที่มีสีชมพู มันสีขาว หนังเกลี้ยงและขาว สำหรับหมูสามชั้นควรเลือกที่มีมันบาง มีเนื้อหลายชั้น หนังบาง ไม่ควรซื้อหมูที่มีเนื้อสีแดงเกินไป เพราะอาจใส่ดินประสิว หรือสารแปลกปลอมสารพัด หรือหมูสีซีด เพราะหมายถึงหมูค้างคืน


เนื้อวัวที่สด จะมีสีแดง สด กดแล้วไม่บุ๋ม ไม่มีน้ำเลือดไหลซึมออกมา ไม่มีสีคล้ำอมเขียว ดมดูไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ไม่ช้ำเลือด ไม่มีเม็ดสาคูซึ่งเป็นตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด


เป็ดและไก่ ควรเลือกที่สด สะอาด เนื้อแน่น ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือมีสีทาตามตัว ไม่มีจ้ำเลือดหรือตุ่มหนอง


ไข่เป็ด ไข่ไก่ ควรบริโภคไข่ที่มีสภาพเปลือกไข่ดี ไม่แตก หรือบุบ ร้าว ไม่บริโภคไข่ที่หมดอายุ หากไม่แน่ใจ ให้ทดสอบโดยนำไข่ไปลอยน้ำ หากไข่จมแสดงว่าไข่ยังสดอยู่ แต่ถ้าลอยหรือมีกลิ่นแสดงว่าไข่เน่าเสีย


อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวอีกว่า แต่ก่อนที่เราจะบริโภคเนื้อสัตว์ให้อร่อย และปลอดภัยจากโรคภัยแล้ว จะต้องรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น เพราะการบริโภคของที่ไม่สุก ไม่สด หรือไม่สะอาด อาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียจากอาหารเป็นพิษได้ ดังนั้น ก่อนการบริโภคผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จึงควรปฏิบัติดังนี้


เช็ดหรือล้างเนื้อสัตว์ให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหารทุกครั้ง....ควรเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในตู้เย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์


กรมปศุสัตว์ได้ให้ความสำคัญในการผลิตเนื้อสัตว์ให้ปลอดภัย และมีมาตรการในการติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หากสนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในการเลือกเนื้อสัตว์ปลอดภัยได้ที่โทรศัพท์ หมายเลข (02) 653-4444 ต่อ 3141 หรือ 3146


กระทรวงเกษตรฯ โชว์แผนต่อยอดนโยบายฟู้ดเซฟตี้
คุณธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร ปี 2553-2556 โดยมี คุณนิกร จำนง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ซึ่งการจัดทำยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหารฟู้ดเซฟตี้ ปี 2548-2551 ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐาน คุณภาพ และความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหารของไทย และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศในอนาคต และยุทธศาสตร์ฯ ได้ผ่านการประชุมระดมความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียแล้ว และเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติยุทธศาสตร์มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร ปี 2553-2556 เรียบร้อยแล้ว โดยมีวิสัยทัศน์ คือ "สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อคนไทยและตลาดโลก", "Standard And Safety For All" ซึ่งจะเน้นใน 5 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินงาน ได้แก่


ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาสินค้าเกษตรคุณภาพรายสินค้า ทั้งในกลุ่มพืช ประมง และปศุสัตว์ เพื่อให้มีแหล่งวัตถุดิบหรือผลผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐานป้อนตลาดอย่างสม่ำเสมอ และจูงใจให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน โดยมีเป้าหมายกับสินค้าที่มีปัญหาแหล่งรับซื้อขาดแคลนผลผลิตคุณภาพ และสินค้าที่สามารถยกระดับคุณภาพได้สูงหากมีตลาดที่แน่นอน เช่น พริก วัตถุดิบเครื่องแกงอื่นๆ เป็นต้น


ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสนับสนุนผู้ผลิตเข้าสู่ระบบมาตรฐาน โดยเฉพาะการขยายจำนวนฟาร์มมาตรฐาน GAP ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนฟาร์มมาตรฐานของเกษตรกรให้ครอบคลุมทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่มจำนวนสถานประกอบการและโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางที่ได้มาตรฐานด้วยเช่นกัน


ยุทธศาสตร์ที่ 3 การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และตลาดสินค้าคุณภาพ เพื่อส่งเสริมการยกระดับสินค้า รวมทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาคุณภาพ และความปลอดภัย มาตรฐาน การแปรรูป ตลอดจนการรับรองตลาดและแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และอีก 2 ยุทธศาสตร์ที่มีการเพิ่มเติมขึ้น คือ


ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างระบบอาหารศึกษาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านมาตรฐาน หมายถึง การสร้างศักยภาพและยกระดับความรู้เรื่องมาตรฐานและความปลอดภัยแก่ผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหาร เพื่อเป็นแนวผลักดันการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานครบวงจร


ยุทธศาสตร์ที่ 5 การสร้างความมั่นใจในมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตรและอาหารของไทยโดยผ่านการสร้างมาตรฐานเป็นสำคัญ


ทั้งนี้ การนำยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมนั้น โดยใช้กลไกการดำเนินงานยังกำหนดให้เป็นลักษณะของคณะกรรมการ (Steering Committee) คือ คณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าและอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงเกษตรฯ ได้แก่ กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินงานตามแผนงาน โครงการ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ได้อย่างสอดคล้องกัน กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเสนอขอใช้งบประมาณแบบบูรณาการระยะเวลา 3 ปี


ขณะเดียวกัน ยังจะประสานหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงเกษตรฯ รวมทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นหน่วยงานสนับสนุน เพื่อผลักดันให้เกิดการบูรณาการในการสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต


หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ เห็นชอบกรอบดำเนินการแผนยุทธศาสตร์ฯ ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว กระทรวงเกษตรฯ จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่ง พรบ.เศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 มาตรา 5 ข้อ 5 กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องนโยบายและมาตรการในการวางแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ โดยจะดำเนินการนำเสนอโดยเร็วต่อไป

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ



ที่มา  :  เทคโนโลยีชาวบ้าน









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-04-29 (2668 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©