ประวัติของส้มโอ
ส้มโอมีถิ่นกำเนิดบริเวณแถบเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ประเทศไทย พร้อมทั้งแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก บริเวณปากน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลางของประเทศไทยเป็นที่มีความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ประกอบกับภูมิอากาศที่เหมาะสม ทำให้พื้นที่ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแหล่งปลูกส้มโอที่ดีมีคุณภาพ รสชาดอร่อย และน่าจะบอกว่า "ดีที่สุดในโลก"
ในปี 2445 ดร.จีบี แมคฟาแลนด์ ได้นำส้มโอของไทยไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซี โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ เป็นผู้รับไว้ พร้อมทั้งได้มีการแจกจ่ายตาส้มโอ ไปยังรัฐฟลอริดา แคลิฟอร์เนียน ปอร์ตอริโก้ ทรีนิแดด และหมู่เกาะไพน์ แต่ผลส้มโอที่ได้มีคุณภาพด้อย ขนาดผลใหญ่ น้ำหนักเบามาก เปลือกหนาและฟู เนื้อแห้งและมีเมล็ดจำนวนมาก ซึ่งมีการคาดคะเนว่าเป็นอิทธิพลจากสภาพดินปลูก ความสนใจในการปลูกส้มโอจึงเงียบไป เว้นช่วงต่อมาประมาณ อีก 9 ปี ในปี พ.ศ. 2454 การนำส้มโอของไทยเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ สอง แต่ก็ประสบผลล้มเหลวอีก เพราะต้นส้มโอตายก่อนถึงท่าเรือ ระยะต่อ ๆ มา เส้นทางการขนส่งส้มโอไทยจะผ่านประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา การปลูกส้มโอในประเทศฟิลิปปินส์จึงแพร่หลายขึ้น
ระหว่างปี พ.ศ.2458-2462 พันธุ์ส้มโอไทยมีการกระจายมากขึ้น ในลักษณะกิ่งตา เช่น ส่งไปยังรัฐฟลอริดา อะลาบาม่า คิวบา และที่วอชิงตันด้วย ผลการตรวจดูส้มโอไทยที่เมื่องริเวอร์ไซด์ โดยคณบดีกร๊อปได้ว่า มีลักษณะผลอยู่ระหว่างพันธุ์ขาวพวงและขาวแป้น ทั้งนี้มีรายงานว่า ดร.เรนคิง เป็นผู้นำส้มโอพันธุ์ของไทยเข้าไปในสหรัฐอเมริกา และฟิลิปปินส์ ส้มโอไทยโดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายพันธุ์ทองดี ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ ดร.ใหญ่ ส.สนิทวงศ์ เชื่อว่าเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุดพันธุ์หนึ่งสำหรับบริโภคกันทั่วไป
แหล่งปลูกส้มโอสำคัญของไทย พื้นที่อุดมสมบูรณ์บริเวณปากน้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ของที่ราบภาคกลางมีแหล่งปลูกส้มโอคุณภาพ ได้แก่บริเวณ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ส้มโอมีคุณภาพอร่อยเป็นที่ยอมรับไปทั่วเอเชีย การปลูกแบบยกร่องทำให้การดูแลต้นส้มโอและให้น้ำได้ทั่วถึง สภาพดินฟ้าอากาศ ส้มโอเป็นไม้ผลเขตร้อนหรือกึ่งร้อน ที่มีลักษณะนิสัยต้องการน้ำมากประมาณครั้งละน้อย แต่บ่อยครั้ง และทนแล้งได้ไม่นาน ในการทำสวนส้่มโอจึงเป็นปัจจัยหลักและสำคัญ ทั้งสามารถปลูกได้ทุกสภาพดิน ไม่ว่าจะเป็นดินทราย ดินปนทราย ดินเหนียว หรือกล่าวได้ว่าปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยมีข้อจำกัดเพียงต้องไม่มีสภาพน้ำท่วมขังแฉะ การระบายน้ำในแปลงปลูกต้องดี สภาพดินปลูกต้องมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ปริมาณน้ำที่ต้นส้มโอได้รับมากเกินไป จะทำให้ส้มโอมีเปลือกหนา รดชาดออกเปรี้ยวมาก และไม่สามารถควบคุมความหวานได้ นอกจากนี้ลักษณะภูมิอากาศของแหล่งปลูกก็มีอิทธิพลต่อคุณภาพของส้มโอด้วย คือความแตกต่างของค่าอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ส้มโอ Citrus maxima merr.Rutaceae
ชื่อพ้อง Aurantium maximum Burm.ex Rumph.,C.aurantium L.var.grandis (L.) Osbeck,C.pamplemos Risso.
ชื่ออื่น ๆ Pummelo,Shaddock
ลำต้น จัดเป็นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ต้นสูง 5-15 เมตร กิ่งก้านสาขาที่แตกจะห้อยลงเป็นทรงพุ่มสวยงาม ลักษณะของกิ่งอ่อนจะปกคลุมด้วยขนสั้น ๆ และมีหนาม รูปร่างอ้วน ขนาดความยาว 1-5 ซม.ด้วย
ใบ มีรูปร่างเป็นรูปโล่ห์ หรือรูปไข่ยาว ลักษณะของปลายใบกลมหรือแหลมป้านบริเวณปลายสุดของใบจะเป็นรอยเว้าเล็กน้อย ส่วนของฐานใบมน จัดเป็นใบขนาดใหญ่ความกว้างของแผ่นใบประมาณ 2-12 ซม. และมีความยาวประมาณ 5-20 ซม.
ก้านใบ ประกอบด้วยปีกขนาดใหญ่ แลดูเป็นรูปคล้ายรูปหัวใจกลับ หรือรูปไข่หัวกลับค่อนข้างยาว โดยส่วนปลายปีกเป็นรูปหัวใจ ปีกจะแคบลงบริเวณฐานก้านใบ ส่วนของก้านใบบริเวณที่กว้างที่สุดประมาณ 0.3-7 ซม. ส่วนประกอบของดอกมีชั้นกลีบเลี้ยงอยู่นอกสุดจำนวน 3-5 กลีบ ในลักษณะเชื่อมติดกันถัดเข้าไปเป็นชั้นของกลีบดอก มีจำนวน 4-5 กลีบ ต่อเข้าไปเป็นชั้นเกสรตัวผู้ เชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม ๆ ประมาณ 4-5 กลุ่ม รวมจำนวนเกสรตัวผู้ก็ประมาณ 20-25 อัน และชั้นในสุดเห็นเกสรตัวเมีย เป็นที่อยู่ของรังไข่ซึ่งมี 11-16 ช่อง ดอกจะกลิ่นหอมมากสามารถนำมากลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ และมีราคาแพงมาก
ผล มีขนาดปานกลางถึงใหญ่ ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-30 ซม. มีรูปทรงกลมหรือเป็นผลแบบสาลี่ สีผลขณะที่ยังอ่อน ผลมีสีเขียว ระยะผลแก่สีจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง และเป็นสีเหลืองทองในที่สุด เปลือกผลมีลักษณะอ่อนนุ่ม มีความหนา 1.5-2 ซม. สีเปลือกด้านในเป็นสีขาวหรือชมพูตามชนิดของพันธุ์ เนื้อผลมีสีเหลืองอ่อนอมเขียวหรือชมพูแต่ละกลีบมีขนาดใหญ่ เรียงซ้อนในแนวตั้ง และแนวขวาง
เมล็ด มีสีขาวอมเหลือง ขนาดใหญ่ ร่องเมล็ดลึก หนึ่งเมล็ดจะสามารถเพาะต้นกล้าได้เพียงต้นเดียว จำนวนเมล็ดในแต่ละผลจะแตกต่างวกันตามพันธุ์
พันธุ์ ส้มโอมีหลากหลายพันธุ์ แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ พันธุ์ ขาวน้ำผึ้ง,ทองดี,ขาวใหญ่,ขาวแป้น,ท่าข่อย
สรรพคุณ
ราก แก้ปวด แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดท้องน้อย แก้ปวดไส้เลื่อน
ใบ แก้ปวดหัว แก้ปวดข้อ แก้ท้องอืดแน่น แก้แผลที่เกิดจากถูกความเย็นจัด ช่วยย่อยอาหาร
ดอก ขับลม ขับเสมหะ แก้ปวดกระบังลม แก้ปวดกระเพาะอาหาร
ผล แก้เสมหะ แก้โลหิต แก้น้ำลายเหนียว เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยให้เจริญอาหาร ขับลมในกระเพาะและลำใส้ แก้เมาสุรา
เมล็ด แก้ปวดท้อง
เปลือก แก้ลมพิษ ช่วยขับเสมหะ ขับลม แก้อึดอัด แน่นหน้าอก แก้จุกแน่น ไอ แก้ปวดท้องน้อย แก้ลมในกองป่วน แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่น แก้ลมท้องขึ้นอืดเฟ้อ
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย ต้านไวรัส ฆ่าแมลง ฆ่าเห็บวัว ยับยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase ยับยั้งการทำงานของต่อมไธรอยด์ ยับยั้งการกลายพันธุ์ ต้านออกซิเดชั่น เพิ่มปริมาณน้ำนมในวัว เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ขับเสมหะ ปิดกั้นช่องทางแคลเซี่ยม มีผลต่อเภสัชจลนศาสตร์ของยา felodipine ฆ่าใส้เดือน ต้านการจับกลุ่มของเซลล์กระดูก
|