-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 339 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

สิ่งแวดล้อม2





"เมืองแกลง" ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำของไทย


นายกเทศมนตรีเมืองแกลง โชว์วิสัยทัศน์พัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ ทำได้จริงไม่อิงกระแสแค่แจกถุงผ้า เน้นลงทุนต่ำแต่ทำให้คุณภาพชีวิตสูงขึ้นได้ มุ่งพลิกฟื้นพื้นที่สีเขียว สร้างวินัยประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะ ยกเลิกถังขยะ พร้อมเปลี่ยนของเสียให้เป็นของดี ยึดคติ "ทำให้ดินดีเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"
       
       ก่อนที่ใครๆ จะพูดถึงปัญหาภาวะโลกร้อนและแจกถุงผ้ากันให้ว่อนเมืองเหมือนตอนนี้ ประชาชนใน
เทศบาลตำบลเมืองแกลง จ.ระยอง เขาเริ่มปรับตัวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาชุมชนสู่วิถีแห่งเมืองคาร์บอนต่ำมาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว ดังที่นายสมชาย จริยเจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเมืองแกลง จ.ระยอง นำมาเล่าสู่กันฟังในงานประชุมวิชาการประจำปี 2553 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (NAC2010) เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
       
       นายสมชาย เปิดเผยว่า การพัฒนาสภาพแวดล้อมภายในเทศบาลตำบลเมืองแกลงให้น่าอยู่ ก็เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น โดยนำมาตรฐาน ISO 14001 มาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยยึดหลักการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาพื้นที่รกร้างว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์ ทำให้บ้านเมืองน่าอยู่ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้ชุมชน ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งได้พัฒนาพื้นที่เปิดโล่งเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบันเมืองแกลงมีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อหัวประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ
       
       "การคมนาคมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่มาจากภาคการขนส่ง จึงริเริ่มโครงการรถโดยสารสาธารณะของเทศบาล และส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัยในการเดินทางร่วมกันโดยหันมาใช้บริการรถโดยสาร ขสมก. หรือขนส่งเมืองแกลง ซึ่งสามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 33 กิโลกรัมต่อวันต่อคัน และทำให้การจราจรมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น" นายสมชาย เผย
       
       นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเมืองแกลงยังมุ่งส่งเสริมการจัดการของเสีย โดยยึดหลัก ทำอย่างไรของเสียจึงไม่เสียของ หรือจัดการของเสียเพื่อให้ได้ของดี และมีส่วนช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ โดยลดปริมาณการฝังกลบขยะให้น้อยที่สุด และทำให้เมืองแกลงกลายเป็นเมืองปลอดขยะด้วยการยกเลิกการตั้งวางถังขยะตามจุดต่างๆ ของเมืองแกลง แต่มีการจัดเก็บขยะตามสถานที่ต่างๆ อย่างเป็นเวลา รวมทั้งรับซื้อขยะรีไซเคิลจากโรงเรียนต่างๆ เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนและครอบครัวรู้จักแยกขยะ
       
       "สัดส่วนขยะในเมืองแกลงประมาณ 83% เป็นเศษอาหารและขยะอินทรีย์ จึงมีการคัดแยกขยะ ขยะรีไซเคิลต่างๆ สามารถขายและสร้างรายได้เข้าเทศบาลได้ ส่วนขยะอินทรีย์ ผักและผลไม้เน่า นำมาทำน้ำหมักชีวภาพ โดยบดและหมักรวมกับพวกเศษกิ่งไม้ใบหญ้า ได้เป็นน้ำจุลินทรีย์สำหรับใช้เติมลงในดินและแม่น้ำลำคลอง เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดินและทำให้ระบบนิเวศในน้ำดีขึ้น ไม่เน่าเสีย ซึ่งกว่าจะมาเป็นปุ๋ยหมักบำรุงดิน ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากดิน ก็ต้องกลับคืนสู่ดิน ถ้าเราทำให้ดินดี เราก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" นายสมชาย กล่าว
       
       นอกจากนี้ ขยะอินทรีย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายได้ เช่น นำไปหมักให้เกิดก๊าซชีวภาพเพื่อใช้แทนก๊าซหุงต้ม หรือนำไปเลี้ยงไส้เดือนเพื่อผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน เศษพืชผักต่างๆ ใช้เลี้ยงเป็ด หมู และแพะได้ แม้แต่พวงหรีดราคาแพงก็สามารถนำมาเป็นอาหารแพะซึ่งเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ และแพะยังกินไปถ่ายไป เปรียบเสมือนเป็นโรงงานปุ๋ยหมักแบบวันเดียว ซึ่งมูลแพะนี้สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยหรือเป็นอาหารเลี้ยงปลาได้
       
       ไม่เพียงเท่านี้ เทศบาลตำบลเมืองแกลงยังออกกฎหมายให้อาคาร ร้านค้า และบ้านเรือนประชาชนต้องติดตั้งถังดักไขมัน เพราะไขมันจากเศษอาหารมักเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำเน่าเสีย ท่อระบายน้ำอุดตัน และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์พาหะนำโรคชนิดต่างๆ และไขมันเหล่านี้ยังมีคุณสมบัติติดไฟง่าย สามารถนำมาแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเชื้อเพลิงสร้างรายได้ให้ชุมชนหรือใช้เป็นฟืนภายในชุมชนได้
       
       "จากการบริหารจัดการขยะในเมืองแกลง สามารถช่วยลดปริมาณขยะได้จากประมาณ 7 ล้านกิโลกรัม เมื่อปี 2549 ให้เหลือประมาณ 6 ล้านกิโลกรัมในปี 2552 ได้ ซึ่งกระบวนการจัดเก็บขยะเป็นสิ่งสำคัญ และต้องได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านด้วยจึงจะประสบผลสำเร็จ และขยะอินทรีย์มีเหมือนกันในทุกประเทศทั่วโลก สามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมัก เลี้ยงไส้เดือน เลี้ยงแพะ เลี้ยงหมูได้เหมือนกัน" นายสมชาย กล่าว
       
       นายกเทศบาลตำบลเมืองแกลง กล่าวอีกว่า เศษอาหาร เศษผักผลไม้ เศษไขมัน ครั้งหนึ่งเคยเป็นของดี อยู่ในอาหารจานหรู อาหารจานหรูเหล่านี้มาจากฟาร์มเพาะปลูก ปลูกด้วยดินและน้ำ ฉะนั้นเขาจึงพูดเสมอว่าคนเราไม่ได้เลี้ยงพืช แต่เลี้ยงดินต่างหาก แล้วดินไปเลี้ยงพืชให้เป็นอาหารของคนอีกทีหนึ่ง ซึ่งตรงนี้คือคำตอบว่าทำไมทุกอย่างจึงต้องกลับคืนสู่ดินสู่น้ำ และเราใส่อะไรให้กับดินเราก็จะได้กินอย่างนั้น
       
       "กลุ่มคนฐานใหญ่ไม่มีโอกาสได้ไปเดินสยามพารากอน อย่างมากก็เดินห้างสรรพสินค้าชานเมือง เพราะฉะนั้นการพัฒนาเมืองของคนฐานใหญ่ ต้องทำให้ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งหลายคนอาจบอกว่าเชยแต่ก็ยังเห็นกินข้าวกันอยู่ เราสามารถนำเอาอดีตทั้งหลายในวัยเด็กที่เราเคยมีความสุขกันมาพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ได้ โดยเราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงแต่รู้เท่าทันมัน ถึงแม้จะมีรายได้ต่ำ แต่มีคุณภาพชีวิตสูง" นายสมชายกล่าว
       
       ล่าสุดนั้นนายกเทศมนตรีเมืองแกลงยังได้ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ทำเกษตรเมือง และทำนาปลูกข้าวกันมากขึ้น เน้นปลูกพอกิน เหลือพอขาย เพราะประเทศไทยอยู่ในเขตดินดำน้ำชุ่ม มีธรณีสัณฐานที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ไม่จำเป็นต้องไปผูกติดกับธุรกิจข้ามชาติตามอย่างต่างประเทศที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาเพื่อให้เป็นเมืองแห่งการผลิตแทนที่จะเป็นเมืองแห่งการบริโภค เพราะประชาชนคนฐานใหญ่ของไทยไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะบริโภคได้มากมาย
       
       ทั้งนี้ นายสมชายเริ่มพัฒนาเทศบาลตำบลเมืองแกลงให้เป็นเมืองสีเขียว เมืองคาร์บอนต่ำแต่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตสูงตั้งแต่ปี 2545 หลังจากที่เขาได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีสมัยแรกเมื่อปี 2544 จนถึงปัจจุบันเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งยึดหลักการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ และทำให้เห็นประจักษ์ โดยอาศัยประสบการณ์ต่างๆ ในวัยเด็กที่เคยมีความสุขของเขา ที่สามารถนำมาทำได้จริงโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โดยเริ่มจากการทำน้ำหมักจุลินทรีย์เป็นอย่างแรกและขยายไปสู่ด้านต่างๆ จนทำให้เมืองแกลงทุกวันนี้เป็นเมืองน่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย


ที่มา  :  ผู้จัดการ









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-04-23 (1067 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©