หน้า: 1/3
สับปะรด
ลักษณะทางธรรมชาติ
* ประเทศไทยส่งออกสับปะรดกระป๋องมากที่สุดในโลก มีทั้งที่ประทับตรา เมด อิน ไทยแลนด์.โดยตรง กับบรรจุกระป๋องส่งออกให้ต่างประเทศแล้วไปประทับตาของประเทศตนเอง
* เกาะฮาวาย สหรัฐ มีการปลูกสับปะรดมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นสับปะรดสำหรับบรรจุกระป๋อง แต่เนื่องจากคุณภาพเมื่อครั้งเป็นผลสดไม่ดีจึงทำให้เมื่อบรรจุกระป๋องแล้วคุณภาพไม่ดีตามไปด้วย สุดท้ายกิจกรรมการปลูกสับปะรดบรรจุกระป๋องจึงเลิกไป
* สับปะรดรับประทานผลสดจากประเทศไทยได้ชื่อว่ารสชาติและคุณภาพดีที่สุดในโลก
* เป็นพืชเขตร้อนชื้น สามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ ทุกภาค และทุกฤดูกาล ชอบดินร่วนปนทรายมีอินทรีย์วัตถุมากๆ
* เป็นพืชไร่ประเภทอวบน้ำ สังเกตจากต้น ใบ หัวหรือผลที่มีน้ำจำนวนมากเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นสับปะรดจึงต้องการน้ำเพื่อสร้างน้ำในหัวหรือผลอย่างสม่ำเสมอ....เทคนิคการให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์แบบ "โอเวอร์เฮด" น่าจะคุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับ "ต้นทุนค่าแรง-เนื้องาน-คุณภาพผลผลิต" ที่จะได้รับ
* เจริญเติบโตได้ดีทั้งพื้นที่แสงแดดส่องถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดวัน และพื้นที่แสงแดดส่องรำไรๆ (แซมหรือแทรกระหว่างต้นไม้ผล) เพียงแต่พื้นที่แสงแดดมากจะให้ผลผลิตเร็วกว่าพื้นที่แสงแดดน้อยเท่านั้น
* ชาวสานยางพารา เมื่อระยะยางพาราต้นเล็ก นิยมปลูกสับปะรดแซมในแถวยางพารา เมื่อให้น้ำบำรุงพืชตัวใดอีกตัวหนึ่งก็จะพลอยได้รับไปด้วย นอกจากนี้สับปะรดยังช่วยป้องกันวัชพืชเจริญเติบโตได้อีกด้วย
* เป็นพืชไร่ทนแล้งได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการน้ำเสียเลย เพียงแต่ต้องการน้ำน้อยหรือต้องการน้ำเพียงหน้าดินชื้น เมื่อคิดจะปลูกสับปะรดให้ได้ผลผลิตดีจึงต้องมีแผนการให้น้ำเตรียมไว้ด้วย
* การกำหนดแผนหรือจังหวะให้ น้ำ + สารอาหาร + อื่นๆ ทางใบ ถ้ามีการปรับช่วงระยะเวลาในการปฏิบัติให้ตรงกับจังหวะให้น้ำทางดินจะช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และ
เพิ่มประสิทธิภาพของเนื้องานยังได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงอีกด้วย
* การเตรียมดินโดยใส่อินทรีย์วัตถุประเภทคงทน (แกลบดิบ แกลบเก่า เศษพืชบดป่น มูลสัตว์ ฯลฯ) ลงไปในดินลึก 50-80 ซม. อินทรีย์วัตถุเหล่านี้จะช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน (อินทรีย์วัตถุ 10กก.อุ้มน้ำได้ 19.9 ล./จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ส่งผลให้สับปะรดได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดเวลานานๆ
* ระยะผลกำลังพัฒนา ถ้าขาดน้ำหรือได้น้ำไม่สม่ำเสมอจะเกิดอาการไส้ดำในผล
* หลังจากปักดำหน่อพันธุ์ลงไปแล้วหว่านเมล็ดถั่วปรับปรุงบำรุงดิน อัตรา 1-2 กก./ไร่ จากนั้นบำรุงต้นถั่วคู่ไปกับบำรุงหน่อพันธุ์สับปะรด เมื่อต้นถั่วโตขึ้นหรือเริ่มออกดอกให้ล้มต้นถั่วลงคลุมหน้าดิน นอกจากช่วยบังแดดจัดไม่ให้เผาหน้าดินโดยตรงแล้วเมื่อเน่าสลายยังกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินอีกด้วย
* หน่อพันธุ์ที่เกิดจากโคนต้นแม่ส่วนที่อยู่ใต้ดินเรียกว่า “หน่อดิน” ส่วนหน่อที่เกิดจากลำต้นแม่ส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินเรียกว่า “หน่ออากาศ” หน่อทั้งสองประเภทใช้ขยายพันธ์ได้
* หน่อพันธุ์หลังจากขุดแยกออกมาจากต้นแม่แล้วนำมาตั้งรวมกองบนพื้นดินใต้ร่มไม้ใหญ่ รอการนำลงปลูกในแปลงจริงสามารถอยู่ได้นานนับเดือน แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้น้ำ สารอาหารและสารสกัดสมุนไพรป้องกันเชื้อราบ้างเป็นครั้งคราว
* ธาตุอาหารมีผลต่อพัฒนาการของสับปะรดอย่างมาก เช่น
- ซิลิก้า. ช่วยบำรุงให้เปลือกแข็งแกร่ง ทนทานต่อการขนส่ง
- โบรอน. ช่วยให้ตาที่เปลือกสดใสไม่ดำคล้ำ
- โมลิบดินั่ม. ช่วยบำรุงให้คุณภาพเนื้อดี สีสวย
- แม็กเนเซียม. ช่วยบำรุงให้ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ส่งผลให้ได้ผลผลิตดี เป็นต้น
* บำรุงต้น ดอก ผลและหน่อโดยให้จุลินทรีย์หน่อกล้วย, ฮอร์โมนบำรุงราก, ไซโตคินนิน.2-3 เดือน/ครั้ง ผ่านไปกับน้ำตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวจะช่วยให้ต้นสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น
* สับปะรดที่ได้รับการสะสมไนโตรเจนมากๆ เมื่อนำไปบรรจุกระป๋อง ไนโตรเจนที่สะสมในเนื้อจะเปลี่ยนสภาพเป็นไนเตรททำให้ผนังด้านในของกระป๋องดำ ......แนวทางแก้ไข คือ เมื่อเริ่มเป็นหัวให้บำรุงด้วยปุ่ยที่มีไนโตรเจน.ต่ำ (5-10-40) จนถึงเก็บเกี่ยว แล้วเสริมด้วย “น้ำ + นมสด” 1-2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 7-10 วัน ให้ครั้งสุดท้ายก่อนเก็บเกี่ยว 10-15 วัน จะช่วยลดปริมาณไนโตรเจนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดไนเตรทได้
* การหยอดแก๊ส หรือฉีดพ่นฮอร์โมนเพื่อเปิดตาดอก จะได้ประสิทธิดีก็ต่อเมื่อต้นมีความสมบูรณ์ดี ลำต้นโตตั้งสะโพกหรือโคนใหญ่
* เนื่องจากงานหยอดแก๊สเพื่อเปิดตาดอกสับปะรดเป็นงานที่ยุ่งยาก สิ้นเปลืองเวลาและแรงงานอย่างมาก วิธีการบำรุงโดยให้สารอาหารสูตรสะสมตาดอกทั้งทางรากและทางใบอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้สับปะรดออกอกได้เช่นกัน
* ผลที่รูปทรงแบนคล้ายพัด (สับปะรดพันตา)เป็นผลที่เกิดจากการผสมของเกสรดอกไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดสารอาหาร ผลแบบนี้บางครั้งเรียกว่า “สับปะรดพันตา” รับประทานไม่ได้แต่ยังจำหน่ายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ได้ ส่วนสับปะรดที่ต้นเดียวมี 2-3 หัวขนาดใหญ่ (แฝด)บนขั้วเดียวกันเกิดจากความสมบูรณ์ของต้นมากเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หัวแฝดแบบนี้ใช้รับประทานได้
* สับปะรดสำหรับส่งโรงงานทำสับปะรดกระป๋องที่คุณภาพดีต้องมีรูปทรงหัวถึงท้ายสม่ำเสมอเพราะเข้าเครื่องปอกได้พอดีตลอดหัว ส่วนหัวที่มีรูปทรงปลายแหลมโคนใหญ่จะเข้าเครื่องปอกเปลือกไม่ดี ราคาตกเพราะโรงงานต้องเสียเนื้อส่วนหนึ่งไป
* หัวโตขนาดเท่าไข่ให้แกะยอดที่จุกหัว (ผ่าหัว) เพื่อเร่งให้ผลโตเร็วๆ
* หลังจากผ่าหัวแล้วให้ใช้เศษหญ้าหนาๆคลุมหัวบังแดดนอกจากช่วยป้องกันผลแตกแล้วยังช่วยให้สีเปลือกสวย คุณภาพเนื้อดีขึ้นอีกด้วย.......เกษตรกรไต้หวัน ใช้วิธีตัดกระดาษแข็ง ทำช่องสวมหัวเพื่อบังแดด ซึ่งได้ผลดีกว่าการใช้เศษหญ้าแห้ง
* ผลผลิตปีแรกจะได้ขนาดใหญ่ หลังเก็บผลชุดแรกแล้วถ้าไม่แยกหน่อ แต่ปล่อยให้หน่อเจริญเติบโตเองเป็นหน่อสอง หน่อสามจะได้ขนาดผลเล็กลง แต่ถ้าแยกหน่อจากต้นแม่ออกมาปลูกใหม่เป็นหน่อแรกก็จะได้ผลขนาดใหญ่เหมือนเดิม
* อายุตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว 13-15 เดือน
สายพันธุ์นิยม
- พันธุ์ปัตตาเวีย (ศรีราชา/พื้นเมืองตาดำศรีราชา). อินทรชิต. ขาว. ภูเก็ต (สวี). ภูแล. นางแล (น้ำผึ้ง). ตราดสีทอง.
- ศรีราชาทนแล้งได้ดีที่สุด
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก(มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา...แห้งเก่าข้ามปี)ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้น
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมดิน
1.ใส่อินทรีย์วัตถุ (แกลบดิบหรือแกลบเก่า) ยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่น ปุ๋ยคอก เศษพืชบดป่น ฯลฯ โดยหว่านเต็มพื้นที่ทั่วแปลงปลูก
2.ไถด้วยผานระเบิดดินดาน (ริปเปอร์) หรือผานจาน 2 ส่งอินทรีย์วัตถุลงสู่ใต้ดินลึก 50-80ซม. แล้วไถดะ-ไถแปรด้วยผานสาม ปรับเรียบด้วยผานแปดเพื่อพรวนดินให้ละเอียด
3.ชักร่องลูกฟูกด้วยผานชักร่อง
เตรียมเครื่องมือให้น้ำ
- ติดตั้งระบบสปริงเกอร์แบบโอเวอร์เฮดหรือท็อปกันด่วยเครื่องสูบฉีดน้ำแรงดันสูงๆ โดยการติดตั้งแบบประจำที่ได้การได้ตลอดไป
- ตัดเส้นทาง (ถนน) ผ่ากลางแปลงเพื่อให้รถไถลากรถพ่วงบรรทุกถังน้ำขนาดจุ 5,000-10,000 ล. หรือมากว่าพร้อมเครื่องพ่น และหัวฉีดน้ำแรงดันสูง (เครื่องสูบน้ำดับเพลิง และหัวฉีดดับเพลิงสามารถฉีดพ่นน้ำได้ไกล 100-200 ม.) ฉีดพ่น 2 ด้านซ้ายขวาในเวลาเดียวกัน
การขยายพันธุ์
- ใช้ “หน่อ” ที่ขุดแยกออกมาจากส่วนโคนของต้นแม่หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว
- ใช้ “ตะเกียง” เป็นหน่อที่ตัดแยกจากมาจากส่วนลำต้นของต้นแม่หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว
- ใช้ “จุก” ที่เฉือนออกมาจากหัวโดยเฉือนให้ติดเนื้อเล็กน้อย
ระยะปลูก
พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 1,600 ต้น การปลูกห่างจะช่วยให้ใบแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มที่ส่งผลให้ต้นพัฒนาเจริญเติบโตดีกว่าการปลูกแบบชิดที่ใบตั้งตรงรับแสงแดดได้น้อย
เตรียมต้นพันธุ์
- ตัดแยกหน่อพันธุ์จากต้นแม่ด้วยมีดคมๆเพื่อไม่ให้แผลช้ำมากจนเกินไป ได้หน่อพันธุ์มาแล้วนำลงแช่ใน “น้ำ 100 ล.+ ไคตินไคโตซาน 100-200 ซีซี.+ จุลินทรีย์หน่อกล้วย 100-200 ซีซี.” ทันทีนาน 12 ชม. ครบเวลาแล้วนำขึ้นผึ่งลม 24-48 ชม. เพื่อให้หน่อเครียดเล็กน้อยจึงนำไปปลูกในแปลงจริงจะช่วยให้หน่อโตเร็วและให้ผลผลิตดีเมื่อโตขึ้น
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อสับปะรด
1.ระยะต้นเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 25-5-5 (200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 100 ซีซี. ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น ทุก 15-20 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 27-7-7 หรือ 30-10-10(1-2 กก.)/ไร่/เดือน
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- หลังจากปักดำหน่อพันธุ์ใหม่ๆยังไม่ต้องให้ปุ๋ย ให้เฉพาะน้ำเปล่าก็พอ ปล่อยให้หน่อพันธุ์รับสารอาหารจากที่ใส่ไว้ช่วงเตรียมดินก็พอ เริ่มให้ปุ๋ยทั้งทางใบและทางรากจริงๆหลังจากหน่อพันธุ์แตกใบอ่อน 2-3 ใบแล้ว
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
- การบำรุงระยะต้นเล็กสำคัญมาก ถ้าบำรุงดีได้น้ำ สารอาหารและฮอร์โมนสม่ำเสมอ จะทำให้ต้นสูงใหญ่ซึ่งจะส่งผลไปถึงการออกดอกแล้วพัฒนาเป็นผลดีขึ้นตรงกันข้ามถ้าต้นขาดน้ำ สารอาหารและฮอร์โมน นอกจากต้นจะแคระแกร็นแล้วยังทำให้การเปิดตาดอกไปถึงผลผลิตไม่ดีอีกด้วย
2.ระยะสะสมตาดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นจะช่วยให้ต้นสมบูรณ์เต็มที่
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วันช่วงหลังค่ำ
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง(2-4กก.)/ไร่/เดือน
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- ถ้าต้นสมบูรณ์ดีเริ่มให้เมื่ออายุต้น 4-5 เดือนเพื่อเปิดตาดอกในเดือนที่ 6 ถ้าต้นไม่สมบูรณ์จริงเริ่มให้เมื่ออายุ 6-7 เดือนเพื่อเปิดตาดอกในเดือนที่ 8
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุด ควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2 เดือน โดยให้กลูโคสหรือนมสัตว์สดรอบแรกเมื่อเริ่มลงมือบำรุง และให้รอบสองห่างจากรอบแรก 20-30 วัน
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
3.ระยะเปิดตาดอก
วิธีที่ 1.....หยอดด้วยแก๊ส แคลเซียม คาร์ไบด์ บดเป็นผงละเอียด อัตราหยิบติดได้ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือกับปลายนิ้วชี้ ลงบนยอดหรือจุก 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน หรือใช้แก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์ อัตรา 200 กรัมผสมน้ำเย็น 75-100 ล. หยดหรือโรยลงบนยอดหรือจุก ต้นละ 1-2 หยด และควรหยอดซ้ำอีกครั้งหลังจากหยดครั้งแรก 5-7 วัน การหยอดแก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์.จะได้ประสิทธิภาพสูงเมื่ออากาศเย็นอุณหภูมิ 20 องสาเซลเซียส และวิธีละลายน้ำแล้วหยดได้ประสิทธิภาพสูงกว่าการทำเป็นผงแล้วหยอดหรือโรย
วิธีการที่เกษตรกรไทยหยอดแก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์. เพื่อเปิดตาดอกสับปะรด มักทำกันตอน ตี. 3-4 เพื่ออาศัยน้ำค้างเป็นตัวสร้างความชื้น ถ้าหยอดช่วงกลางวันก็ต้องฉีดพ่นน้ำเพื่อให้ยอดหรือจุดเปียกชื้นเสียก่อน ซึ่งทั้งสองวิธีก็ใช้ได้ผลดี
วิธีที่ 2.....ฉีดพ่นด้วย เอทีฟอน ชนิด 39.5 เปอร์เซ็นต์ (1.5 ซีซี.) + น้ำ 200 ล.สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นหน้าหน้าดินเปียกชื้น 1 รอบ ถ้าต้นสมบูรณ์ไม่เต็มที่หรือมีทีท่าว่าจะไม่ออกดอกแน่ให้ฉีดพ่นซ้ำอีกรอบห่างจากรอบแรก 14-20 วัน แต่ไม่ควรให้ซ้ำรอบสองด้วยระยะเวลาห่างจากรอบแรกน้อยกว่า 7-10 วัน
ในต่างประเทศนิยมใช้ อีเทฟอน 1.5 ซีซี. + ยูเรีย 6 กก. + น้ำ 100 ล. ฉีดพ่นช่วงอากาศเย็นอุณหภูมิ 20 องสาเซลเซียส ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าการไม่ใช้ยูเรียและฉีดพ่นช่วงอากาศร้อน
หมายเหตุ :
- จากงานวิจัยระบุว่าเปิดตาดอกสับปะรดด้วยแคลเซียม คาร์ไบด์.ได้ผลดีกว่าการใช้เอทีฟอน.
- ปัจจุบันเกษตรไทยนิยมใช้เอทีฟอน.เนื่องจากปัญหาแรงงาน
4.บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 10-45-10(200 กรัม) หรือ 0-42-56(200 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + เอนเอเอ.100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 กรัมฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินชื้น 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 10-15 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรพอเปียกใบ ช่วงหลังค่ำ ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (2-4 กก.)/ไร่
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- การให้ปุ๋ยทางรากต่อระยะนี้อาจไม่จำเป็นถ้าต้นสมบูรณ์แทงช่อดอกดีก็ไม่ต้องให้
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
5.ระยะผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 5-10-40(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินเปียกชื้น ทุก 10-15 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 5-10-45 (2-4 กก.)/ไร่ โดยการฉีดพ่นลงพื้นที่โคนต้นเป็นการให้น้ำไปในตัว
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- ระยะดอกแดง (ผลเล็ก) ให้โมลิบดินั่ม อัตรา 25 มก./น้ำ 100 ล. โดยการฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันจะช่วยป้องกันอาการไส้เน่าและโรคเน่าในผลซึ่งอาการโรคนี้เกิดจากสารอาหารมาสมดุลอย่างรุนแรง
- เมื่อผลขนาดเท่าไข่ไก่ให้แกะจุก (ผ่าหัว) จะช่วยให้ผลเจริญเติบโตเร็วขึ้น หลังจากแกะจุกแล้วบำรุงด้วยปุ๋ยทางใบ 1 รอบก็พอ
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
6.ระยะผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 5-10-40(200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินชื้น ทุก 15-20 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรพอเปียกใบ ช่วงหลังค่ำ ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 5-10-40(2-4 กก.)/ไร่/เดือน โดยละลายน้ำรดโคนต้น
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มลงมือบำรุงเมื่อนับตาแนวตั้งจากด้านขั้วผลถึงปลายผลได้ 5 ตา
- การบำรุงระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้าง ถ้าได้รับน้ำน้อยนอกจากจะทำให้ผลไม่โต หากมีฝนตกหนักลงมาก็อาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้
- ให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลขนาดกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากแบกภาระเลี้ยงผลบนต้น
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
7.ระยะผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้ 100 ล.+ 0-0-50(200 กรัม)หรือ 0-21-74(200 กรัม)สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. หรือ น้ำ 100 ล.+ มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นทางใบให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรช่วงหลังค่ำ ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้ 0-0-60 (2-4 กก.)/ไร่
- งดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- ให้ปุ๋ยทางใบและทางราก 1 ครั้งก็พอ
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้
- ให้สาหร่ายทะเล + แคลเซียม โบรอน.+ เอ็นเอเอ.2-3 ครั้ง โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลาง ถึง ก่อนเก็บเกี่ยว จะช่วยให้ผลมีคุณภาพดี ต้นสมบูรณ์สดชื่นอยู่เสมอ