สละ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหอมหวานเฉพาะตัว เป็นที่นิยมของผู้บริโภคโดยทั่วไป มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตในเชิงการค้าได้ค่อนข้างเร็ว สามารถปลูกได้ดีเกือบทุกสภาพพื้นที่ พันธุ์ที่นิยมปลูก
1. "พันธุ์เนินวง" ขนาดตะโพกหรือลำต้นเล็กกว่าระกำ บริเวณกาบใบมีสีน้ำตาลทอง ปลายใบยาว หนามของยอดที่ยังไม่คลี่มีสีขาว ผลมีรูปร่างยาว หัวท้ายเรียวคล้ายกระสวย หนามผลยาว อ่อนนิ่ม ปลายหนามงอนไปทางท้ายผล เนื้อมีสีเหลืองนวลคล้ายน้ำผึ้งหนานุ่ม รสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยว ทานแล้วรู้สึกชุ่มคอ กลิ่นหอม เมล็ดเล็ก
2. "พันธุ์หม้อ" ขนาดตะโพกหรือลำต้นเล็ก ใบมีสีเข้มกว่าพันธุ์เนินวง ข้อทางใบถี่ สั้น หนามยาวเล็กและอ่อนกว่าพันธุ์เนินวง ช่อดอกยาว ติดผลง่ายกว่าพันธุ์เนินวง ผลคล้ายระกำ เปลือกผลสีแดงเข้ม เนื้อสีน้ำตาลมีลาย เนื้อหนาแต่ไม่แน่น รสชาติหวาน มีกลิ่นเฉพาะ เมล็ดเล็ก ทนต่อสภาพแสงแดดจัดได้ดีกว่าพันธุ์เนินวง
3. "พันธุ์สุมาลี" เป็นพันธุ์ใหม่ ลำต้นคล้ายระกำ ทางใบยาวมีสีเขียวอมเหลือง ใบใหญ่กว้างและปลายใบสั้นกว่าพันธุ์เนินวง หนามของยอดอ่อนที่ยังไม่คลี่มีสีส้มอ่อน คานดอกยาว ช่อดอกใหญ่ ติดผลง่าย ผลมีรูปร่างป้อมสั้น สีเนื้อคล้ายสละเนินวง เนื้อหนากว่าระกำ แต่บางกว่าพันธุ์เนินวง รสชาติหวาน มีกลิ่นเฉพาะ เจริญเติบโตเร็วและทนต่อสภาพแสงแดดจัดได้ดีกว่าพันธุ์เนินวง
การเลือกซื้อสละ
o โดยทั่วไปสละแต่ละพันธุ์มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก จะต่างกันที่บางพันธุ์มีลักษณะพิเศษ คือ ลำต้นไม่มีหนามและบางพันธุ์ผลจะมีลักษณะยาวรีและเปลือกมีสีน้ำตาลเข้ม เช่น สละพันธุ์เนินวง
o สละจะมีรสชาติหอมหวาน ส่วนระกำจะเปรี้ยวอมหวาน
o ผลระกำจะมีเมล็ด 2-3 เม็ด แต่สละจะมีเพียง 1-2 เมล็ด
o สละนิยมทานผลสด แต่ระกำนิยมไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น ปลาทูต้มระกำ เป็นต้น
o การแกะเปลือกสละและระกำ ให้เปิดเปลือกจากก้นผลแล้ววนรอบผล จะแกะง่ายและไม่ทำให้เนื้อช้ำแต่ถ้าเปลือกก่อนเป็นชิ้น ๆ แสดงว่าไม่สดเพราะเปลือกแห้งเกินไป
ประโยชน์จากสละ
o แปรรูป ทานสดหรือทำเป็นน้ำสละ สละลอยแก้ว หรือใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารที่ต้องการความเปรี้ยว หวาน
o ประโยชน์ คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อสละมีกรดอินทรีย์ น้ำตาล วิตามินซีเล็กน้อย ฟอสฟอรัสและสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ข้อมูลจาก สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดระยอง
|
สละพันธุ์อินโดนีเซีย พืชเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง
สละอินโดนีเซีย... เป็นพืชพื้นเมืองที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรในประเทศอินโดนีเซีย เกษตรกรในประเทศดังกล่าวนิยมปลูกสละ เนื่องจากให้ผลผลิตเร็ว เพียงอายุประมาณ 2 ½ -3 ปี และสามารถจำหน่ายได้ราคาดี ดูแลรักษาง่าย และทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทางธรรมชาติคล้ายกับประเทศอินโดนีเซีย
จากการที่เกษตรกรทดลองปลูกสละดังกล่าวแล้ว พบว่าให้ผลผลิตใกล้เคียงกับอินโดนีเซีย จึงเห็นว่า...สละอินโดนีเซียจึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรไทย
สละอินโดนีเซีย
เป็นพืชตระกูลเดียวกับระกำ (ตระกูล Palmae) มีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ปุนดุก บาหลี คอนเด็ต ปาดังซีเดมป้าน มานนจายา บาดูรา อัมบาวา และ บันจัรบือการา ส่วนพันธุ์สละที่นิยมปลูกในประเทศอินโดนีเซีย คือ พันธุ์ปุนดุก และพันธุ์บาหลี เนื่องจากมีรสชาติหวาน กรอบ เนื้อหนา ส่วนอีก 6 พันธุ์ ที่เหลือจะไม่นิยมปลูกเพราะมีรสหวานปนเปรี้ยว ฝาด และขม
นายหะยีตือเงาะ สายาดะ (พ่อ) และ นายดอเลาะ สายาดะ (ลูก) หมู่ที่ 3 ตำบลบาลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เป็นเกษตรกรที่ปลูกสละพันธุอินโดนีเซีย ได้ผลผลิตและสามารถจำหน่ายได้แล้วได้ราคาดี โดยจำหน่ายกิโลกรัมละ 120 บาท นอกจากนั้นเกษตรกรได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะเด่นของสละพันธุ์อินโดนีเซียที่เขาปลูก คือ เนื้อหนา รสหวานกรอบ ไม่ติดเมล็ด ออกผลเร็วต้นเตี้ย และง่ายต่อการดูแลรักษา ไม่มีโรคแมลงมารบกวน
นายหะยีตือเงาะ สายาดะ ได้เล่าให้ฟังถึงแรงจูงใจในการปลูกสละว่า “เดิมปลูกลองกองอยู่แล้ว จำนวน 5 ไร่ ซึ่งขณะนั้น ลองกองอายุได้ 26 ปีแล้วและประสบปัญหาหนอนชอนใต้ผิวเปลือก จึงมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนพืชตัวใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว และสามารถใช้พื้นที่ลองกองเดิม 5 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงตัดสินใจซื้อต้นสละจากประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2543 จำนวน 660 ต้น ๆ ละ 60 บาท โดยนำมาปลูกเป็นแถวแซมระหว่างต้นลองกอง ระหว่าง 3 X 5 เมตร เมื่อปลูกได้ระยะหนึ่งพบว่าปัญหาหนอนชอนใต้ผิวเปลือกลองกองลดลง จึงตัดสินใจปลูกกต้นสละร่วมกับต้นลองกอง และปลายปี 2545 ได้ผลผลิตออกมา 20 กิโลกรัม จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 120 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ดีมาก ”
ผู้เขียนได้สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูก การดูแลรักษา โรคแมลงต่าง ๆ ซึ่งเกษตรกร ได้เล่าให้ฟังต่อว่า "สละพันธุ์อินโดนีเซียสามารถปลูกได้ทุกพื้นที่และสามารถเจริญเติบโตได้ดี หากปลูกในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง และสามารถปลูกเป็นพืชแซม ร่วมกับพืชอื่นจะดีกว่าเพราะเกษตรกรจะมี รายได้จากพืชหลักอยู่แล้วควรปลูกระหว่าง 3X5 เมตร สำหรับการดูแลรักษาก็เหมือนพืชทั่วไปคือใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15–15–15 หรือ 16–16–16 จำนวน 3 ครั้ง/ปี หากพื้นที่ฝนไม่ตกควรให้น้ำประมาณ 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ จากนั้นสละจะออกดอกเมื่ออายุ 2 ½-3 ปี และเก็บเกี่ยวได้ภายใน 8 เดือน หลังจากดอกบาน ส่วนโรคและแมลงจะไม่พบและง่ายต่อการดูแลรักษา” ผู้เขียนได้สอบถามถึงข้อจำกัด ตลอดจนปัญหาอุปสรรคอื่นๆ ได้รับการอธิบายเพิ่มเติมว่า "ปัญหาอุปสรรคมีไม่มากเท่าไรนัก คือเกี่ยวกับการผสมเกสร ซึ่งสละมี 2 ประเภท คือ
ต้นสละตัวผู้ และต้นสละตัวเมีย ถ้าขาดตัวหนึ่งตัวใดจะไม่ติดผล โดยส่วนใหญ่ต้องการตัวผู้ : ตัวเมีย อัตราส่วน 2 : 1 ซึ่งสละที่ปลูกอยู่แล้ว 660 ต้น จะเป็นตัวเมีย 450 ต้น และตัวผู้ 210 ต้น นอกจากนั้นเรายังต้องช่วยผสมเกสรโดยนำเกสรจากดอกตัวผู้มา ผสมกับดอกตัวเมีย ซึ่งจะทำให้ติดผลเช่นเดียวกัน” สำหรับโครงการเกี่ยวกับสละที่จะทำต่อไป
ได้รับการเปิดเผยต่อไปว่า "ตอนนี้ไม่คิดจะปลูกเพิ่มแล้วเพราะเต็มพื้นที่แต่ได้ขยายพันธุ์ต้นสละเพื่อจำหน่ายจำนวน 500 ต้น ๆ ละ 30 บาท ซึ่งตนได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกการดูแลรักษา ความรู้ทาง วิชาการและการขยายพันธุ์จากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรจากสำนักงานเกษตรอำเภอรามัน และสำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา” เขากล่าวในที่สุด จากข้อมูลและคำบอกเล่าข้างต้น….คงจะเป็นการยืนยันได้ถึงจุดเด่นของสละอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นพืชเศรษกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากรสชาติหวาน เนื้อหนา ผลร่อนไม่ติดเมล็ดต้นเตี้ย ให้ผลผลิตเร็ว ราคาดี และง่ายต่อการดูแลรักษาของเกษตรกร คงจะเป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจของเกษตรกรที่จะปลูกสละพันธุ์อินโดนีเซียต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา โทร... 073 – 216610 หรือ E – mail : yala@doae.go.th อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน หรือได้ที่เว็บไซด์ http:yala.doae.go.th ในเวลาราชการ
ภัทรวดี จินดาพันธ์
กัสมัน ยะมาแล
สำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา
|